เชื่อว่าหลายๆท่านคงเคยโดนโทรหาเพื่อเชิญชวนให้สมัครบัตรเครดิต หลายครั้งเราเลือกที่จะปฏิเสธไป แต่ในที่สุดเราก็มีหนึ่งใบมาในมือ การมีบัตรเครดิตหมายความว่าคุณสามารถซื้อสิ่งของที่อยู่ตรงหน้าได้ราวกับเสกเวทมนตร์โดยที่ไม่ต้องมีเงินสด (ซื้อได้ทันทีหากรายจ่ายนั้นอยู่ในวงเงิน) บางครั้งอยากได้สิ่งของสิ่งนั้นเสียจนลืมไปว่า เห้ย! เราจะหามาจ่ายภายหลังให้ทันภายในหนึ่งเดือนได้หรือไม่? ความคิดมากมายผุดขึ้นในหัวเกิดเป็นความลังเลว่าจะรูดบัตรเครดิตดีหรือไม่ ความคิดเหล่านี้มีทั้ง เอาน่าเหนื่อยมาทั้งอาทิตย์แล้วหารางวัลปลอบใจตัวเองบ้าง หรือจะเป็นความคิดที่ว่า เดี๋ยวเราก็หมุนเงินทันมาชำระได้เองแหละสิ้นเดือน หรือจะเป็นการติดเครดิตก้อนใหญ่อย่างการตัดสินใจผ่อนรถด้วยความคิดที่ว่า รถเราเก่าแล้วเปลี่ยนใหม่เลยดีกว่า
ความคิดและพฤติกรรมรูดไม่ยั้งของเหล่ามนุษย์เงินเดือนเริ่มกองสะสมทวีคูณขึ้นเรื่อยๆ จนประเทศเรามี “มนุษย์หนี้” เกิดขึ้นเต็มไปหมด แต่คุณสามารถเลี่ยงที่จะไม่เป็นหนึ่งในนั้นได้หากนำข้อคิดเพื่อพิชิตความต้องการใช้บัตรเครดิตที่เราจะแนะนำต่อไปนี้ไปปรับใช้เพื่อความมั่งคั่งในอนาคต
1. จดบันทึกรายจ่ายแบบเบสิกสามารถพลิกชีวิตได้
แผนรายจ่ายแต่ละเดือนทำได้ไม่ยากอย่างที่คุณคิด เพียงแค่มีปากกาและกระดาษจดสร้างตาราง 2 ตารางง่ายๆคือ ช่องรายรับและช่องรายจ่าย ลองดูว่าภายในหนึ่งสัปดาห์หรือหนึ่งเดือนเราหมดกับค่ากาแฟที่ขายในแพ็คเกจสวยๆไปเท่าไร เราซื้อเสื้อผ้าแล้วรวมเป็นเงินเท่าไรต่อเดือน หากคุณรู้ว่าคุณมีรายได้รับรู้เท่าไรและมีรายจ่ายต่อเดือนเท่าไร คุณจะทราบตัวเลขว่าคุณจะเหลือใช้อีกเท่าไรต่อเดือนหรือเป็นไปได้ว่าคุณกำลังเข้าสู่โมเมนต์ “เดือนชนเดือน” เมื่อจดออกมาแล้วลองดูว่ามีรายจ่ายไม่จำเป็นอะไรที่คุณสามารถลดได้บ้าง หลายคนอาจจะสงสัยว่าแล้วการออมมันมาเกี่ยวเนื่องได้อย่างไรกับบัตรเครดิต เกี่ยวสิครับเพราะเงินออมสะสมของคุณสามารถนำไปใช้ซื้อของ (ที่จำเป็น) ในอนาคตได้โดยไม่ต้องพึ่งบัตรเครดิตที่พ่วงมาด้วยดอกเบี้ย, ค่าธรรมเนียมและค่าปรับสุดระทึกกรณีชำระล่าช้า
2. ดอกเบี้ยบัตรเครดิตมันแพงจนอาจจะแซงเงินเดือน
จำนวนดอกเบี้ยที่ถูกพ่วงมากับการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตเพื่อซื้อของนั้นค่อนข้างสูง ไม่เพียงแต่คุณจะจ่ายราคาของแพงกว่าคนอื่น แต่คุณกำลังดึงเงินในอนาคตมาใช้ หรือคุณสามารถทำใจได้กับการใช้ชีวิตแบบเดือนชนเดือน(อีกแล้ว)ในเดือนถัดไปเราก็ไม่ว่ากัน ทำไมคุณถึงจ่ายแพงกว่า? ลองดูเหตุการณ์ตัวอย่างนี้ สมาร์ทโฟนรุ่นใหม่ล่าสุดเพิ่งเปิดตัวขายด้วยราคา 28,000 บาท คุณสามารถครอบครองได้ทันทีเพียงรูดบัตรสวยๆที่อยู่ในกระเป๋า ก่อนจะทำการนั้นลองคิดถึงดอกเบี้ยบัตรเครดิตให้ดีก่อน (กรณีไม่มีตัวเลือกผ่อน 0%) ดอกเบี้ยสินเชื่อส่วนบุคคลส่วนใหญ่จะอยู่ที่ประมาณ 18 – 20% ของยอดการใช้จ่าย ดังนั้นโทรศัพท์ของคุณจะมีราคาประมาณ 33,000 บาท (28,000 x 1.5%) x 12 เดือน = 33,000 บาท ซึ่ง 1.5% นี้เกิดจากการนำดอกเบี้ยรวม (18%) ไปหารจำนวนเดือน (12) นั่นเอง ตัวเลขเฉพาะดอกเบี้ยที่คุณต้องจ่ายให้โทรศัพท์ใหม่ของคุณคือ 5,040 บาท หลังจากผ่อนหมดแล้วรุ่นใหม่ก็ออกในปีถัดมาจ๊ะเอ๋คุณอีกพอดีซึ่งอาจจะสร้างวัฏจักรหนี้สินของคุณเช่นนี้ไปเรื่อยๆ
3. เครดิตความน่าเชื่อถือทางการเงิน (credit score) ที่แย่อาจส่งผลไปยังธุรกรรมครั้งใหญ่ในอนาคต
การรักษาเครดิตชำระหนี้ตามกำหนดเป็นเรื่องสำคัญ มีเงินชำระอย่างเดียวไม่พอ การตรงต่อเวลาสำคัญด้วยเช่นกัน อย่ามีความคิดแย่ๆที่ว่า “ไว้เดือนหน้าค่อยไปจ่ายละกัน” กรณีนี้เคยเกิดขึ้นจริงมาแล้วกับใครบางคนที่ไม่รอบคอบ ซึ่งผลจากการประมาททางการเงินนี้นำไปถึงเครดิตที่เสีย ถึงแม้ว่าคุณจะมีเงินชำระครบตามจำนวนแต่เครดิตเสียที่ถูกบันทึกไปมันไม่สามารถลบได้เหมือนไฟล์ในคอมพิวเตอร์ ผลจากการมีเครดิตเสียคือเมื่อคุณมีความคิดจะทำประกันทรัพย์สินเช่นบ้านหรือรถยนต์บริษัทประกันภัยอาจจะคำนวณว่า คนที่มีเครดิตการเงินที่แย่อยู่แล้วย่อมไม่มีความสามารถที่จะดูแลรักษาทรัพย์สินที่อยู่ในกรมธรรม์เป็นแน่ ซึ่งถ้าบริษัทประกันเหล่านี้ต้องจ่ายค่าสินไหมทดแทนบ่อยๆอาจจะเป็นการไม่คุ้มทุน จึงไม่ขอเสี่ยงกับบุคคลติดแบล็คลิสต์นี้ หรือจะเป็นกรณีการขอสินเชื่อบ้านที่คุณอาจจะขอได้ในวงเงินที่จำนวนไม่เยอะพร้อมดอกเบี้ยที่แพงขึ้นหรือเป็นไปได้ว่าคุณอาจจะไม่สามารถเข้าถึงสินเชื่อเหล่านี้ได้เลย จะโทษใครได้นอกจากความมักง่ายทางการเงินในอดีตนั่นเอง
เมื่อเตรียมเครดิตพร้อมเพื่อขอสินเชื่อซื้อที่อยู่อาศัยใหม่ที่น่าสนใจ ให้รีวิวโครงการใหม่ของเราช่วยคุณ
4. แย่ที่สุดคุณอาจจะกลายเป็นผู้พิการทางการเงิน
การใช้ชีวิตแบบเดือนชนเดือนเป็นประจำเป็นการไร้ซึ่งการวางแผนทางการเงินในอนาคต ลองคิดดูว่าหากคุณเป็นหนี้บัตรเครดิตอยู่หลายเดือนติดต่อกันด้วยความคิดที่ว่าเดี๋ยวรอเงินโบนัสมาจะไปชำระทีเดียวให้หมดเลย แต่ผลปรากฏว่าคุณถูกปลดออกจากงานกลางคันเนื่องด้วยนโยบายการลดค่าใช้จ่ายลงของบริษัทโดยบริษัทอาจจะทยอยจ่ายเงินชดเชยให้กับคุณ มิหนำซ้ำมรสุมชีวิตของคุณได้ใหญ่ขึ้นจากการประสบอุบัติเหตุส่งผลให้คุณต้องถูกหามส่งเข้าโรงพยาบาลเอกชนที่ใกล้ที่สุดจะขอย้ายเตียงไปโรงพยาบาลรัฐก็ทำไม่ได้เพราะเตียงเต็ม ทำอย่างไรดีล่ะประกันบริษัทก็ใช้ไม่ได้แล้ว ประกันชีวิตเขาก็ประเมินว่าเครดิตเราไม่สามารถผ่อนยอดกรมธรรม์ได้ บิลค่ารักษาค่อยๆกองสูงขึ้น ท้ายที่สุดคุณถึงกับโดนฟ้องว่ากลายเป็นบุคคลล้มละลาย ซึ่งสถานะนี้จะถูกประทับตราไว้บนหน้าผากคุณเป็นเวลาหลายปี ถึงแม้ว่าคุณจะพยายามเคลียร์เครดิตให้ดีขึ้นจนหมด ก็ต้องใช้เวลาอีกหลายปีกว่าจะสร้างประวัติทางการเงินที่สดใสได้อีกครั้ง
อย่างไรก็ตามสำหรับคนที่บริหารการเงินอย่างชาญฉลาด บัตรเครดิตอาจจะกลายเป็นเครื่องมือทางการเงินที่แสนวิเศษเช่นการใช้แต้มสะสมเพื่อเป็นส่วนลดต่างๆ หรือแลกสิทธิพิเศษต่างๆได้มากมาย สุดท้ายนี้ขอฝากไว้ว่าหากคุณไม่สามารถซื้อของที่อยากได้ ณ เดี๋ยวนั้น และคำนวณแล้วว่าอาจจะหามาชำระได้ไม่ทัน อย่าสนองความต้องการตัวเองด้วยการรูดบัตรเครดิตและอย่ามีความคิดแย่ๆทางการเงินที่กล่าวไปในข้างต้น “อย่าให้ความสุขระยะสั้นมากำหนดคุณค่าระยะยาวในตัวคุณ”
เรื่องข้างต้นเขียนโดย ชัยสิทธิ์ บุนนาค Content Writer ประจำ DDproperty หากมีข้อสงสัยหรือคำถามเกี่ยวกับบทความสามารถติดต่อโดยตรงได้ที่ chaiyasit@ddproperty.com