ครั้งแรกที่ก้าวเข้าสู่ชีวิตมนุษย์เงินเดือน สิ่งที่ทุกคนคาดหวังกับชีวิตมาตลอดก็คือความปลอดภัยและหลักประกันในชีวิต ทำให้หลายคนซัพพอร์ทความคิดจุดนี้ด้วยการทำประกันชีวิต ซึ่งในปัจจุบันประกันชีวิตที่ฮอทฮิตที่สุดก็คือ ประกันชีวิตแบบสะสมทรัพย์ หรือ ประกันชีวิตที่บริษัทประกันตกลงจะจ่ายเงินผลประโยชน์คืนให้กับเรา ตามที่ระบุในกรมธรรม์ เมื่อครบกำหนดอายุของกรมธรรม์หรือเมื่อมีการเสียชีวิตเกิดขึ้น ซึ่งส่วนใหญ่เงื่อนไขของกรมธรรม์มักจะเป็นแบบระยะยาว คือ จ่ายค่าเบี้ยประกันชีวิตเท่ากันทุกปีเป็นเวลา 20 ปี และมีผลคุ้มครอง 20 ปี ด้วยระยะเวลาการจ่ายที่ยาวงานแบ่งชำระเป็นจำนวนเงินที่เจียดออกมาจากเงินเดือนเล็กน้อย ช่วงแรกที่ต้องจ่ายค่าเบี้ยประกันจึงยังคงมีความสามารถจ่ายไหว แต่หากวันหนึ่งเกิดเรื่องฉุกเฉินมีภาระการใช้จ่ายที่มากขึ้น ทำให้ไม่สามารถจ่ายค่าเบี้ยประกันต่อไปไหว ซึ่งถ้าหากจ่ายเบี้ยประกันต่อไปไม่ไหว ประกันชีวิตส่วนใหญ่จะมีทางเลือกให้ผู้ที่อยากยกเลิกจ่ายประกัน ดังนี้

ภาพ via 1.bp.blogspot.com
1.เวนคืนกรมธรรม์เพื่อรับเงินมูลค่าเวนคืน ซึ่งหมายความว่า ความคุ้มครองตามกรมธรรม์ประกันภัยจะสิ้นสุดลงทันที จำนวนเงินที่จะได้รับคืนก็จะเป็นไปตามจำนวนเงินที่ระบุในตารางเวนคืนท้ายกรมธรรม์ของผู้จ่ายประกัน ซึ่งแน่นอนผู้จ่ายประกันจะต้องได้รับเงินท้ายกรมธรรม์น้อยกว่าเงินที่เสียไปอย่างแน่นอน อันเป็นผลมาจากการที่เราไม่อยากจ่ายค่าประกันชีวิตกลางคัน และกรมธรรม์ก็จะถูกยกเลิกทันที
2.การนำเบี้ยประกันที่มาเปลี่ยนเป็นมูลค่าใช้เงินสำเร็จ หมายความว่า ระยะเวลาความคุ้มครองของกรมธรรม์จะเท่าเดิมตามที่ระบุไว้ในกรมธรรม์ แต่จำนวนเงินประกันภัยจะลดลง ซึ่งเมื่อเกิดอุบัติเหตุ หรือ เสียชีวิต เงินประกันที่ได้รับก็จะไม่ใช่เงินที่ตกลงกันไว้ตั้งแต่แรก แต่จะเป็นเงินค่าเบี้ยประกันที่เราจ่ายมาไว้ก่อนหน้าทั้งหมด
3.การเปลี่ยนมูลค่าขยายเวลา หมายความว่า จำนวนเงินประกันภัยของเราจะเท่าเดิมตามที่ระบุไว้ในกรมธรรม์ แต่ระยะเวลาความคุ้มครองใหม่จะขยายนานขึ้นกว่าเดิม ซึ่งจำนวนปีที่ขยายไปนั้นก็จะระบุไว้ในตารางมูลค่าขยายเวลาที่แนบอยู่ท้ายกรมธรรม์ โดยอาจจะขยายความคุ้มครองเราไปอีก 10 ปี แต่ถ้าหากเสียชีวิตภายใน 10 ปี จากวันที่ขยายความคุ้มครองก็มีสิทธิ์ที่จะได้รับเงินประกัน
จาก 3 กรณีที่กล่าวมา จะเห็นได้ชัดเลยว่าบริษัทประกันชีวิต จะได้รับผลประโยชน์มากกว่าจากผู้ที่ไม่มีกำลังจ่ายประกันต่อหรือไม่อยากจ่ายแล้ว ไม่ว่าจะเป็นการยกเลิกกรมธรรม์แล้วคืนเบี้ยซึ่งก็เป็นจำนวนเงินประมาณ 1 ส่วน 3 ของเบี้ยที่จ่ายไปเท่านั้น รวมไปถึงการนำเบี้ยประกันมาเปลี่ยนเป็นมูลค่าเงินสำเร็จ ที่เอาเบี้ยที่จ่ายไปแล้วมาเป็นยอดเงินประกัน จ่ายไป 15,000 บาท ก็มียอดเงินประกันแค่ 15,000 หรือแม้แต่การขยายเวลาก็ตามที่โอกาสที่เราจะได้รับเงินประกันนั้นก็ยากขึ้นจากการขยายเวลา ซึ่งจะเห็นได้ชัดว่าจะทำอย่างไรก็ขาดทุน ซึ่งแน่นอนหากไม่อยากจ่ายต่อก็จำเป็นต้องเสียเงินส่วนต่างนั้นไป แต่ทั้งนี้ก็ยังมีอีกหลายวิธีที่ทำให้การส่งเบี้ยของเราง่ายขึ้น หรือมีการลดหย่อนเบี้ย เพื่อให้เราไม่ต้องยกเลิกและขาดทุน รวมไปถึงมีกำลังพอจ่ายเบี้ยประกันชีวิตต่อ
1.ขอลดทุนประกันชีวิต ในกรณีที่เราส่งประกันชีวิตไม่ไหว แต่อยากส่งต่อให้ครบ ก็สามารถขอส่งต่อในวงเงินที่น้อยลงได้ โดยติดต่อเจ้าหน้าที่ที่ทำประกันชีวิตกับผู้ทำประกัน แล้วทำการขอตัดเงื่อนไขบางข้อ หรือลดสิทธิบางประการที่ไม่จำเป็นออก เพื่อทำให้เราส่งเบี้ยประกันน้อยลง แต่ทุนประกันชีวิตที่เราจะได้รับนั้นก็น้อยลงตามมาด้วย
2.ขอเปลี่ยนงวดการส่งเบี้ยประกันชีวิต ส่วนใหญ่บริษัทประกันชีวิตแต่ละบริษัทจะมีสัญญาให้ส่งเป็นรายปี ผู้ประกันสามารถเปลี่ยนมาเป็น 1เดือน 3 เดือน 6 เดือน ก็ได้ถ้าบริษัทประกันนั้นยินยอมรับข้อตกลงของผู้ประกัน ประโยชน์ในการขอเปลี่ยนงวดก็คือผู้ประกันไม่จำเป็นต้องจ่ายเงินก้อน โดยสามารถทยอยส่งเบี้ยประกันชีวิตในจำนวนเงินน้อย ในระยะเวลาที่กระชั้นชิดมากขึ้น แต่ก็ช่วยให้ความสามารถในการส่งเบี้ยประกันง่ายขึ้นกับการจ่ายแบบเดือนต่อเดือนกับเบี้ยที่น้อยลงอย่างเห็นได้ชัด
3.ขอกู้กรมธรรม์ เป็นการกู้เงินในวงเงินตามอัตราที่เราส่งเบี้ยประกันชีวิตไปแล้วเท่าใด ก็จะกู้ได้ กี่เปอร์เซ็นต์ของเงินที่ส่งไปหรือตามต้นทุนของประกัน จะได้กี่เปอร์เซ็นต์นั้น แล้วแต่ละบริษัทประกันชีวิตนั้นๆ โดยแต่ละบริษัทจะมีเงื่อนไขกำหนดไว้ไม่เหมือนกัน หากใครที่ไม่สามารรถจ่ายเบี้ยประกันไหว แต่ไม่อยากขาดทุนอยากจ่ายเบี้ยต่อให้ครบวาระก็สามารถเลือกใช้วิธีนี้ได้เช่นกัน
จากข้อความข้างต้นจะเห็นได้เลยว่าการทำประกันชีวิตไม่ใช่เรื่องง่าย จำเป็นจะต้องเช็คความพร้อมของเงินอยู่ตลอดเวลา ซึ่งหากจะมายกเลิกกลางคันก็จำเป็นต้องเสียผลประโยชน์จากเบี้ยประกันที่จ่ายไป แต่หากจะจ่ายต่อไปโดยสามารถขอลดหย่อนกรมธรรม์ต่างๆ ได้ก็ตามแต่ก็ยังมีบางกรณีที่ต้องลดทอนสิทธิในการใช้ประกันไป ดังนั้นหากคิดจะทำประกันควรคิดให้รอบคอบ ใช้เวลาเก็บเงินสักนิดให้มีความพร้อมแล้วและกำลังในการจ่ายค่าเบี้ยประกันชีวิตไหว แล้วจึงตกลงปลงใจที่จะทำประกันชีวิตเพื่อหลักประกันของชีวิตและอนาคตของคนที่เรารัก