ในยุคที่โลกก้าวเข้าสู่ยุคดิจิทัลอย่างเต็มตัว และประเทศไทยประกาศจุดยืนเข้าสู่ไทยแลนด์ 4.0 ทุกภาคส่วนธุรกิจต่างปรับตัวกันอย่างแข็งขัน เพื่อไม่ให้ตกเทรนด์ เช่นเดียวกับภาคธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่ผู้ประกอบการหลายรายต่างปรับหางเสือมุ่งสู่การนำนวัตกรรม Prop Tech (Property Technology) เข้ามาใช้ในกระบวนการบริหาร การก่อสร้าง การขายและการตลาด และการบริการหลังการขาย เพื่อให้ตอบโจทย์ลูกค้ามากขึ้น
ล่าสุด บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) ที่เพิ่งจับมือกับธนาคารไทยพาณิชย์ ก่อตั้งบริษัทร่วมทุน “สิริ เวนเจอร์” ได้ทำการวิจัยและลงทุนเพื่อสร้างนวัตกรรมใหม่ด้าน Prop Tech อย่างเต็มรูปแบบเป็นรายแรกของไทย สร้างความฮือฮาให้กับแวดวงอสังหาริมทรัพย์ไทยไม่น้อยด้วยการสร้างรูปแบบการซื้อที่อยู่อาศัยใหม่ แบบ Paperless and formless payment โดยใช้ SAMSUNG pay ชำระเงินจอง หรือค่าบริการต่าง ๆ โดยผ่านบัตรเครดิตที่มีอยู่ในสมาร์ทโฟน และ SANSIRI Online Booking เปิดให้ลูกค้าเป็นเจ้าของยูนิตพิเศษผ่านระบบออนไลน์
ก่อนหน้านี้ บริษัท อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) หนึ่งในผู้ประกอบการที่ให้ความสำคัญกับ Prop Tech ได้พยายามสร้างปรากฏการณ์เมื่อปลายปีที่แล้วกับการจองคอนโดมิเนียมออนไลน์ แม้ระบบจะล่มและไม่สามารถให้บริการได้ แต่ก็แสดงให้เห็นว่ามีผู้ให้ความสนใจและเชื่อมั่นในนวัตกรรมใหม่ๆ ที่ทางผู้ประกอบการพยายามจะนำมาใช้
ไทย 1 ในเจ้าแห่งการเชื่อมต่อด้านดิจิทัลของภูมิภาค
จากผลวิจัยของทาง Google และ Temasek องค์กรการลงทุนรายใหญ่ของสิงคโปร์พบว่า ประเทศไทยมีการเติบโตของผู้ใช้อินเตอร์เน็ตอย่างรวดเร็วมากถึง 9% ต่อปี โดยคาดว่าจะมีจำนวนถึง 59 ล้านคน ในปี 2020 เพิ่มจาก 38 ล้านคน ในปี 2015 ประกอบกับประเทศไทยมีศักยภาพการเติบโตทางด้านดิจิทัลสูง เนื่องจาก 58% ของประชากรมีอายุต่ำกว่า 40 ปี ซึ่งเป็นคนในกลุ่ม Gen Y ที่มีความคล่องตัวด้านเทคโนโลยี และยังเป็นประเทศที่มีอัตราการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตอยู่ในระดับสูงด้วยเช่นกัน โดย 57% ของประชากรเข้าถึงอินเทอร์เน็ตและมีผู้ใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่มากกว่า 85 ล้านเลขหมาย ทั้งบนเครือข่าย 3G และ LTE รวมทั้งมีความเร็วการดาวน์โหลดอยู่ที่ 19.82 Mbps สูงเป็นอันดับ 2 ในกลุ่มประเทศแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รองจากสิงคโปร์เท่านั้น
Gen Y ตัวขับเคลื่อน Prop Tech ในไทย
ปัจจัยสำคัญอันหนึ่งที่กล่าวไว้ในข้างต้นคือกลุ่มคน Gen Y ที่มีส่วนขับเคลื่อนProp Tech ในไทยได้ใน 2 บทบาท คือเป็นทั้งผู้ผลิตและผู้บริโภค ด้านการเป็นผู้บริโภคนั้นคน Gen Y คือผู้บริโภคกลุ่มใหญ่ที่ผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์มักกำหนดเป็นกลุ่มเป้าหมายหลัก ซึ่งในปัจจุบันมีประมาณ 22 ล้านคน จากรายงานของศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB EIC) พบว่าคน Gen Y ในประเทศไทยมีรายได้ค่อนข้างสูงแม้จะยังอยู่ในวัยหนุ่มสาว ประมาณการว่า มีส่วนแบ่งรายได้สูงถึง 5 ล้านล้านบาทต่อปี หรือคิดเป็น 25% ของรายได้รวมของประเทศ หรือเฉลี่ยประมาณ 30,000 บาท/เดือน และมีรายจ่ายสูงถึงประมาณ 80% ของรายได้
นอกจากนี้ จากระดับการใช้งานอินเทอร์เน็ตและสื่อสังคมออนไลน์ พบว่า 79% ของ Gen Y เลือกติดตามและรับรู้ข้อมูลข่าวสารจากสื่อสังคมออนไลน์ และ 69% อ่านข่าวจากเว็บไซต์ต่าง ๆ โดยในแต่ละวัน Gen Y ประมาณ 55% ใช้เวลามากกว่า 2 ชั่วโมงในการเข้าใช้เว็บไซต์และสื่อสังคมออนไลน์ต่าง ๆ รวมทั้งยังมีปัจจัยเสริมอื่น ๆ ที่แสดงให้เห็นว่าคน Gen Y มีความคล่องตัวด้านเทคโนโลยีมากกว่าคนรุ่นอื่น ๆ เช่น ความถี่ของการใช้งานอินเทอร์เน็ต วิธีซื้อสินค้าและชำระเงินที่มักไม่ชอบใช้เงินสด ด้วยเหตุผลเหล่านี้ภาคธุรกิจอสังหาริมทรัพย์จึงหันมาใช้เทคโนโลยีในการเป็นช่องทางเข้าถึง ดึงดูดและตอบสนองความต้องการผู้บริโภคกลุ่มดังกล่าว
อีกด้านหนึ่งของคน Gen Y ในฐานะผู้ผลิต คือ คนกลุ่มนี้มีความต้องการทำธุรกิจของตัวเองหรือ Startup ซึ่งในปัจจุบันบริษัทยักษ์ใหญ่ในแวดวงอสังหาริมทรัพย์ก็กำลังควานหากลุ่ม Startup ฝีมือดีที่จะมาช่วยต่อยอด PropTech ให้กับบริษัท ไม่ว่าจะเป็นเอสซี แอสเสท, อนันดา, แสนสิริ ฯลฯ
เทรนด์ Startup กับ Gen Y
จากการสำรวจของสำนักงานบริหารและพัฒนาองค์ความรู้ (องค์การมหาชน) หรือ OKMD พบว่า ในปี 2558 คน Gen Y ต้องการจะเป็น Startup เมื่อเรียนจบ ถึง 38% ถือว่ามีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับช่วง 5 ปีที่ผ่านมาที่มีสัดส่วนไม่ถึง 20% โดย Startup ที่กำลังมาแรงและคงจะอยู่ต่อไปอีกนานคือการเขียนโปรแกรมและซอฟท์แวร์สำหรับสมาร์ทโฟนและโลกออนไลน์ โดยข้อมูลจากสมาคมการค้าเพื่อส่งเสริมผู้ประกอบการเทคโนโลยีรายใหม่ พบว่า เมื่อปี 2558 มีผู้ประกอบการที่ทำธุรกิจ Tech Startup (การนำเทคโนโลยีมาผสมผสานกับการทำธุรกิจ) ในประเทศไทยประมาณ 400-500 บริษัท ส่วนใหญ่เป็นคน Gen Y โดยเฉพาะกลุ่มนักศึกษาจบใหม่
อย่างไรก็ตาม โอกาสที่ธุรกิจของคน Gen Y จะประสบความสำเร็จนั้น OKMD ประเมินว่ามีเพียง 50% เท่านั้น โดยสาเหตุมาจากคนกลุ่มนี้ไม่มีข้อมูลและไม่ได้ศึกษาข้อมูลต่าง ๆ ทั้งแนวโน้ม โอกาสของตลาดและเทรนด์ของลูกค้าอย่างเพียงพอ และการที่ไม่มีประสบการณ์ในการทำธุรกิจมาก่อน รวมทั้งยังต้องเผชิญความท้าทายต่าง ๆ อีกมากมาย และการให้สิทธิประโยชน์ที่ไม่มากพอจากภาครัฐ ทำให้ผู้ประกอบการต้องหันไปจดทะเบียนธุรกิจในต่างประเทศสูงถึง 40% อาทิ สิงคโปร์ ซึ่งมีมาตรการสนับสนุนของภาครัฐจำนวนมาก เช่น มีการใช้โมเดลสนับสนุนธุรกิจ Startup โดยเฉพาะการผลักดันให้ออกไปลงทุนในต่างประเทศ การให้เงินลงทุนจำนวนมากและต่อเนื่อง การให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีแก่นิติบุคคล
หากนับเฉพาะในฝั่งของผู้บริโภค คนไทยเชื่อมั่นและพร้อมแล้วสำหรับ Prop Tech แต่ในแง่ของผู้ผลิตนั้นส่วนใหญ่ Startup ไทยยังอยู่ในขั้นเริ่มต้นเท่านั้น ส่วนหนึ่งก็เพราะขาดการสนับสนุนอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย แต่จากแนวโน้มที่ภาคธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เตรียมพร้อมจะผลักดันในด้านนี้ เชื่อว่าไทยจะเติบโตด้าน Prop Tech ได้เช่นเดียวกับต่างประเทศในอนาคตที่ไม่ไกลเกินรอ
อัพเดท ข่าวอสังหาริมทรัพย์ สดใหม่ทุกวัน พร้อมส่งตรงถึงอีเมล์ของคุณฟรี สมัครได้ที่นี่ หรือหากคุณกำลังมองหาบ้านคอนโด ก็สามารถเลือกชม โครงการใหม่ พร้อม รีวิวโครงการคอนโดใหม่ บ้านใหม่ หลากหลายทำเลและราคาได้เช่นกัน