แลนด์มาร์ค แอท แกรนด์สเตชั่น บาย ไซมิส แอสเสท (Landmark At Grand Station By Siamese Asset) เป็นโครงการมิกซ์ยูส บนทำเลศักยภาพ ตรงข้ามแฟชั่นไอส์แลนด์ ใกล้รถไฟฟ้าสายสีชมพู สถานีวงแหวนรามอินทรา เพียง 400 เมตร ภายในห้องออกแบบเป็น 2 ชั้น เพดานสูง 4.15 เมตร เน้นความโปร่ง โล่ง พร้อมออกแบบห้องตามพฤติกรรมและไลฟ์สไตล์ที่แตกต่างกัน ไม่ว่าจะเป็นห้องพักสำหรับผู้สูงอายุ คนที่มีสัตว์เลี้ยงหรือห้องพักในรูปแบบ Co-living และห้องพักแบบมาตรฐาน ภายในโครงการครบครันด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกทั้งพื้นที่พักอาศัย โรงแรม ร้านค้า ร้านอาหาร และสำนักงาน ราคาเริ่มต้นเพียง 2.90 ล้านบาท
สนใจ คอนโดฯ ในโครงการนี้? เลือกชม รายการประกาศ ราคาโดนใจ
สุขุมวิทช่วงปลายตั้งแต่ซอย 70 ถึง 113 ได้รับความสนใจจากเหล่าดีเวลลอปเปอร์เป็นอย่างมากเนื่องจากมีการขยับของราคาที่ดินอย่างต่อเนื่องประกอบกับศักยภาพทั้งด้านระบบโครงสร้างพื้นฐานและแหล่งค้าปลีกขนาดใหญ่ บริษัท เสนา ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) คือหนึ่งในบริษัทที่มีนโยบายการเข้าซื้อที่ดินที่มีศักยภาพการเติบโตสูง และพื้นที่ในซอยสุขุมวิท 113 คือหนึ่งในพื้นที่ที่ทางเสนาเลือกเพื่อพัฒนาโครงการเจาะผู้ซื้อและผู้เช่ากลุ่ม middle-low end หรือกลุ่มคนระดับกลางลงไป ภายใต้ชื่อ “The Kith Plus Sukhumvit 113” ที่นำความเชี่ยวชาญในเรื่องพลังงานทางเลือกเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของโครงการ และไฮไลท์ด้านระบบโครงสร้างพื้นฐานอย่างส่วนต่อขยายบีทีเอส แบริ่ง – สำโรง ที่เข้ามาช่วยเพิ่มความสะดวกด้านคมนาคม และในอนาคตจะกลายเป็นจุดอินเตอร์เชนจ์กับสายสีเหลือง ราคาเริ่มต้นของโครงการอยู่ที่ประมาณ 1.2 ล้านบาท
พลังงานทางเลือกที่ว่าจะเป็นอะไร รวมถึงจุดอินเตอร์เชนจ์ที่ว่าจะมีเส้นทางอย่างไร มีอะไรน่าสนใจบนพื้นที่ทำเลบนสุขุมวิทช่วง 113 นี้ ติดตามได้เลยครับ
เจาะลึกข้อมูลโครงการ
ชื่อโครงการ: เดอะ คิทท์ พลัส สุขุมวิท 113 (The Kith Plus Sukhumvit 113)
ผู้พัฒนาโครงการ: บริษัท เสนาดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน):SENA
ทำเลที่ตั้ง: ซอยสุขุมวิท 113 ตำบลสำโรงเหนือ อำเภอสมุทรปราการ จังหวัดสมุทรปราการ
เว็บไซต์: sena.co.th
โทร: 1775 ต่อ 37
รายละเอียดโครงการ (ข้อมูล ณ วันที่ 1 ตุลาคม 2559)
พื้นที่โครงการ: 2 – 3 – 19 ไร่ (เฟส 1) พื้นที่รวม 5 – 1 – 29 ไร่
ลักษณะโครงการ: คอนโดมิเนียมโลว์ไรส์ 8 ชั้น 2 อาคาร
จำนวนยูนิต: 425 (เฟสละประมาณ 212)
กลุ่มเป้าหมาย: กลุ่มมนุษย์เงินเดือนที่มีรายได้ตั้งแต่ 2 หมื่นบาทขึ้นไปและอาศัยคนเดียวหรือเป็นคู่, ผู้ที่ทำงานอยู่ในถนนสุขุมวิทช่วงปลายหรือช่วงต่อขยายของแนวรถไฟฟ้าสายสีเขียวเข้ม (อ่อนนุช – แบริ่ง) รวมถึงกลุ่มผู้ที่ทำงานในห้างค้าปลีกต่างๆ บนถนน บางนา – ตราด
สถานะการก่อสร้าง: ประมาณ 10% ปัจจุบันอยู่ในช่วงทดสอบเสาเข็มและอยู่ระหว่างเตรียมงานตอกเสาเข็ม
ลิฟท์: 2 ตัวต่อ 1 อาคาร
ที่จอดรถ: รถยนต์ประมาณ 30% ไม่รวมจอดซ้อนคัน และรถจักรยานยนต์อยู่ที่ประมาณ 49%
สิ่งอำนวยความสะดวก: ฟิตเนส ล็อบบี้พร้อม Wi Fi สระว่ายน้ำ สวนหย่อมทั้งด้านล่างและตามจุดต่างๆ ของตัวอาคาร
ระบบรักษาความปลอดภัย: รปภ. 24 ชม. CCTV, Keycard Access ระบบป้องกันอัคคีภัย (Heat Detector) และที่ตรวจจับควัน (Smoke Detector)
สถานะการขาย: อาคาร A ประมาณ 90%
เงินกองทุนสะสม: 500 บาท/ตร.ม. (ชำระครั้งเดียว ณ วันโอนกรรมสิทธิ์)
ค่าส่วนกลาง: 37 บาท/ตร.ม./เดือน (ชำระเป็นยอดล่วงหน้าจำนวน 1 ปี ณ วันโอนกรรมสิทธิ์)
ราคาเริ่มต้น: 1.2 ล้านบาท
ราคาเฉลี่ย: 35,000 – 40,000 บาท/ตร.ม.
รายละเอียดโครงการ
แนวคิดโครงการ
เสนาฯ นำความเชี่ยวชาญด้านธุรกิจพลังงานทางเลือกเข้ามาผสมผสานกับธุรกิจอสังหาฯได้อย่างลงตัวเกิดขึ้นเป็น “คอนโดโซลาร์” ที่มีการติดตั้งของแผงโซลาร์ด้านบนของตัวอาคาร แสงแดดที่ส่องมายังแผงโซลาร์เหล่านี้จะถูกแปลงเป็นพลังงานไฟฟ้าเข้าสู่ระบบจ่ายไฟของตัวโครงการ โดยไอเดียนี้สอดคล้องกับหนึ่งในมิชชั่นของบริษัทนั่นคือการสร้างความยั่งยื่นทั้งด้านการอยู่อาศัยและสิ่งแวดล้อม
การออกแบบในลักษณะนี้สามารถเห็นได้ในสหรัฐเช่นกันโดยเจ้าของไอเดียบริษัทที่ทำระบบแผงโซลาร์ให้แก่ที่อยู่อาศัย (บริษัท Solar City) คือ Elon Musk ที่เป็นทั้งเจ้าของบริษัทรถยนต์พลังงานไฟฟ้า (Tesla) และบริษัทสร้างกระสวยอวกาศ (Space X) แต่ดูเหมือนว่า โซลาร์ ซิตี้ ทางฝั่งอเมริกานั้นจะเลือกเจาะกลุ่มลูกค้าที่รัฐแคลิฟอร์เนียซึ่งส่วนใหญ่เป็นกลุ่มคนระดับบน อย่างไรก็ตามเทคโนโลยีรักษ์โลกเช่นนี้ทางเสนาฯเลือกนำมาใช้กับโครงการต่างๆทั้งแนวราบและแนวสูงและเกือบจะทุกโปรดักส์เซ็กเม้นท์ นั่นหมายความว่ากลุ่มผู้มีรายได้ชั้นกลางลงมาก็สามารถอาศัยในโครงการที่มาพร้อมกับคำว่า “นวัตกรรม” ได้จริงๆ
นอกจากความใส่ใจด้านสิ่งแวดล้อมและความสนใจในพลังงานทางเลือกแล้วเสนาฯยังมีจุดเด่นอยู่ที่การสร้างความเชื่อมั่นให้แก่กลุ่มลูกค้าที่ไว้ใจในโปรดักส์ของบริษัทโดยได้สร้างระบบ 360 Care หรือการมีระบบเซอร์วิสบริการแก้ไขปัญหาในเรื่องต่างๆเช่น การซ่อมบำรุง, นิติบุคคล และ การรับฝากขาย – เช่า รวมไปถึงสารพันคำถาม ทางทีมงานจะคอยช่วยเหลือตลอด 24 ชม. โดยบริการนี้สามารถเข้าถึงได้ง่ายมากเพียงแค่โหลดแอพพลิเคชั่นเท่านั้น (SENA 360 Service) ยิ่งไปกว่านั้นแอพฯนี้ยังสามารถติดตามปริมาณการลดค่าไฟที่เกิดจากการใช้แผงโซลาร์ได้อีกด้วย ซึ่งลูกบ้านจะสามารถทราบได้ทันทีว่านวัตกรรมที่ทางเสนาฯใช้นั้น “ได้ผล” จริงๆ
ไม่เพียงแต่พลังงานโซลาร์จะถูกนำมาใช้จ่ายไฟให้แก่ยูนิตอยู่อาศัย แต่ยังถูกจ่ายมายังระบบไฟ ณ พื้นที่ส่วนกลางด้วย
ปัจจัยสำคัญที่ทำให้ทางเสนาฯสามารถเลือกพัฒนาโครงการที่ดึงพลังงานทางเลือกมาใช้ในเกือบทุกโปรดักส์เซ็กเม้นต์คือการทำงานแบบบูรณาการหรือการดึงไอเทมจากธุรกิจหนึ่ง (โซลาร์รูฟ) มาสู่อีกธุรกิจหนึ่ง (อสังหาฯ) การทำเช่นนี้จะเป็นการลดต้นทุนได้โดยตรงเพราะไม่จำเป็นจะต้องไปทำการติดต่อพ่อค้าอื่นที่อาจจะขายผลิตภัณฑ์เดียวกันในราคาที่สูงกว่านั่นเอง นี่อาจจะเป็นคำตอบว่าทำไมเสนาฯถึงเลือกลุยหน้าพัฒนาโครงการประเภทนี้ได้อย่างเต็มที่และเปี่ยมด้วยความเชี่ยวชาญย้อนสู่คำว่า “Trust” ที่ทางลูกค้าต่างไว้วางใจ และถือเป็นอีกหนึ่งมิชชั่นของบริษัทเอง
การออกแบบโครงการ
โครงการแบ่งออกเป็นสองเฟสเฟสละหนึ่งอาคาร การออกแบบเป็นแบบเรียบง่ายโดยตัวอาคารมีสีเทาตัดด้วยเส้นสายสีน้ำเงิน แต่ละอาคารจะมีช่อง void 2 ตำแหน่งโดยช่องนี้จะกลายเป็นหนึ่งในพื้นที่ส่วนกลางของลูกบ้าน รูปแบบการจัดวางของสองตัวอาคารเป็นลักษณะตัว “L” ที่คว่ำชนกัน พื้นที่ช่องว่างตรงกลางคือพื้นที่ส่วนกลางที่ประกอบไปด้วยสวนหย่อม, ล็อบบี้, ฟิตเนส และสระว่ายน้ำ
ไฮไลท์ของโครงการคือแผงโซลาร์ที่ถูกติดตั้งอยู่บนชั้นดาดฟ้าของแต่ละอาคารโดยในตอนกลางวันจะดึงแสงอาทิตย์มาเก็บ หลังจากนั้นแสงแดดเหล่านี้จะถูกเปลี่ยนเป็นพลังงานไฟฟ้าเพื่อจ่ายระบบไฟให้แก่ลูกบ้าน ดังนั้นสิ่งที่เป็นประโยชน์จากเทคโนโลยีแผงโซลาร์นี้คือลูกบ้านจะได้ค่าไฟที่ถูกลงเนื่องจากเครื่องกำเนิดไฟของโครงการจะผลิตกระแสไฟฟ้าน้อยลงเพราะดึงพลังงานไฟฟ้าที่แปลงมาจากแสงอาทิตย์มาใช้นั่นเอง
ประเภทของยูนิต ณ เฟสที่ 1 จะเป็นแบบ 1 ห้องนอนขนาด 28 ตร.ม. ทั้งหมด แตกต่างกันในเรื่องของเลย์เอ้าท์ที่จะวางตำแหน่งของห้องน้ำแตกต่างกัน โดย Type A ห้องน้ำจะเข้าจากห้องนอน Type B ห้องน้ำจะอยู่ตรงตำแหน่งของห้องครัว
Master Plan




ชั้น 5 – 6 ไม่มีส่วนของพื้นที่ void ส่วนกลางทำให้มียูนิตที่ 29 ห้อง


ภาพจำลองพื้นที่ส่วนกลาง





รีวิวห้องชุดโครงการ
Type A พื้นที่ใช้สอย 28 ตร.ม.
Unit Plan





งานบิ้ลท์อินมีพื้นที่สำหรับจัดเก็บอุปกรณ์ต่างๆ ด้านล่างมาพร้อมช่องขนาดใหญ่ที่สามารถจัดวางไมโครเวฟได้ พื้นครัวได้เป็นเซรามิค 30 x 30 ซม.




ตรงมุมกระจก see through มีเต้าปลั๊กติดตั้งรองรับการใช้งาน โดยอาจจะใช้เป็นการเสียบปลั๊กของทีวีแขวนผนังตำแหน่งปลายเตียงได้
Type B ขนาดพื้นที่ใช้สอย 28 ตร.ม.
Type B ขนาด 28 ตร.ม. ประกอบด้วย 1 ห้องนอน 1 ห้องน้ำ 1 ห้องครัว 1 ระเบียงส่วนตัว และ 1 ห้องรับแขก

จุดรับประทานอาหารจะใช้จุดเดียวกับห้องรับแขกที่มีขนาดเดียวกับของ A (2 x 2 เมตร) ชุดโต๊ะรับประทานอาหารและโต๊ะน้ำชาขนาดเล็กโครงการให้มาด้วยเช่นกัน












สิ่งที่จะได้รับจากโครงการ
ห้อง Type A
-โซฟาพร้อมโต๊ะกลาง 1 ตัว
-ชั้นวางทีวี 1 ตัว
-โต๊ะรับประทานอาหาร 1 ตัว
-เก้าอี้รับประทานอาหาร 2 ตัว
-ตู้เสื้อผ้า 1 ตัว
-เตียงขนาด 5 ฟุต 1 ตัว
-เคาน์เตอร์ชุดครัวพร้อมซิ้งค์
-แอร์ 9,000 BTU 1 เครื่อง แบรนด์ York (ห้องนอน)
-สุขภัณฑ์และอุปกรณ์ shower (American Standard)
ห้อง Type B
-โซฟาพร้อมโต๊ะกลาง 1 ตัว
-ชั้นวางทีวี 1 ตัว
-โต๊ะรับประทานอาหาร 1 ตัว
-เก้าอี้รับประทานอาหาร 2 ตัว
-ตู้เสื้อผ้า 1 ตัว
-เตียงขนาด 5 ฟุต 1 ตัว
-เคาน์เตอร์ชุดครัวพร้อมซิ้งค์
-แอร์ 9,000 BTU 1 เครื่อง แบรนด์ York (ห้องนอน)
-สุขภัณฑ์และอุปกรณ์ shower (American Standard)
พื้นและวัสดุที่จะได้รับ


ทําเล & การเดินทาง
ศักยภาพทำเลถนนสุขุมวิทช่วงบีทีเอสสำโรง
กาขยายของสุขุมวิทชั้นในเริ่มกว้างออกมาเรื่อยๆ โดยมีสิ่งที่นำร่องคือส่วนต่อขยายรถไฟฟ้าไล่มาตั้งแต่ช่วงส่วนต่อขยายรถไฟฟ้าช่วงที่ 1 หรือ อ่อนนุช – แบริ่ง อย่างไรก็ตามพื้นที่ดินโดยรอบบริเวณสถานีของช่วงต่อขยายนี้มีราคาซื้อขายต่อ ตร.วา ที่ค่อนข้างสูง ส่งผลให้บรรดาดีเวลลอปเปอร์ต้องพัฒนาโครงการที่สามารถเรียกราคาเฉลี่ยต่อ ตร.ม. ที่ประมาณ 80,000 บาทขึ้นไป อย่างไรก็ตามเรทราคาต่อ ตร.ม. นี้คงจะสามารถถูกดูดซับได้ในบรรดา กลุ่มลูกค้าระดับกลาง – บน เท่านั้น ดังนั้นการหาทำเลในการพัฒนาโปรดักส์ระดับรองลงมาคือต้องหาพื้นที่ที่จะมาเป็นพระเอกในการพัฒนาโปรดักส์ที่สามารถตอบโจทย์กลุ่มลูกค้าระดับกลางลงมาทั้งด้านราคาและการอยู่อาศัย และนั่นก็คือโซนสุขุมวิทตั้งแต่ซอย 70 – 113 โดยปัจจัยนำร่องที่สร้างความน่าสนใจให้แก่สุขุมวิทช่วงนี้คือ รถไฟฟ้าส่วนต่อขยายช่วงที่ 2 สายสีเขียวเข้ม แบริ่ง – สำโรง

ใกล้เข้ามาทุกขณะกับการเปิดให้บริการการใช้งานของบีทีเอสสายสีเขียวเข้มส่วนต่อขยายช่วงที่ 2 (แบริ่ง – สำโรง) ที่ตามกำหนดการคือประมาณช่วงต้นเดือนธันวาคม โดยซอยที่อยู่ในแนวรถไฟฟ้าส่วนต่อขยายนี้จะมีตั้งแต่ซอย สุขุมวิท 70 (ฝั่งเลขคู่) – สุขุมวิท 113 (ฝั่งเลขคี่) แต่ดูเหมือนว่าฝั่งที่เหมาะกับการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยมากกว่าคือฝั่งเลขคี่สาเหตุเป็นเพราะว่าซอยต่างๆในฝั่งนี้จะเป็นซอยที่เชื่อมระหว่างถนนสุขุมวิทและถนนศรีนครินทร์นั่นเอง แต่สำหรับฝั่งเลขคู่จะเป็นการทะลุไปยังพื้นที่ติดริมน้ำแทน
รถไฟฟ้าสถานีอินเตอร์เชนจ์สำโรง
เป็นโครงการสถานีอินเตอร์เชนจ์ระหว่างรถไฟฟ้าสองสายนั่นคือสายสีเขียวเข้มส่วนต่อขยายช่วงที่ 2 แบริ่ง – สำโรง และสายสีเหลือง (ลาดพร้าว – สำโรง) ที่จะวิ่งบนถนนศรีนครินทร์ขนานไปกับสายสีเขียวบนถนนสุขุมวิท โดยสายสีเหลืองจะวกเข้าถนนเทพารักษ์เพื่อเข้ามาบรรจบกับสถานีสำโรงของสายสีเขียวเข้มนั่นเอง แต่สายสีเหลืองจะถูกเลื่อนเข็นเข้า ครม. ไปเป็นปี 2560 และตามแผนการจะเสร็จประมาณ 2563 แต่คงจะเลื่อนออกไปอีก ส่วนสายสีเขียวในอนาคตจะสามารถวิ่งไปถึงสมุทรปราการได้เลย

อีกหนึ่งไฮไลท์บนถนนบางนา “The Bangkok Mall”
มหาเมกะโปรเจกต์อีกหนึ่งแห่งที่จะตั้งอยู่ตรง แยกบางนา – ตราด ตัดกับถนนสุขุมวิท “The Bangkok Mall” ที่พัฒนาโดย เดอะ มอลล์ กรุ๊ป ขนาดพื้นที่ดินพัฒนาโครงการมีมากกว่า 100 ไร่ พื้นที่ดังกล่าวเดิมเป็นของ Property Perfect ภายในพื้นที่่ประกอบด้วยคอมมูลนิตี้มอลล์ขนาดใหญ่, โรงแรมและเรสซิเดนซ์ที่บริหารโดย City Realty ซึ่งเป็นเข้าของโรงแรม Chatrium นั่นเอง

ศักยภาพภายในซอยสุขุมวิท 113
ตำแหน่งของโครงการ The Kith Plus สุขุมวิท 113 นั้นอยู่ห่างจากปากซอยซึ่งเป็นที่ตั้งของบีทีเอสสถานีสำโรงประมาณ 450 เมตรซึ่งถือว่ายังคงอยู่ในระยะเดินได้ สำหรับคนที่ไม่คุ้นชินกับซอยนี้ต้องบอกก่อนว่าลักษณะซอยขาเข้าจะเป็นแบบ one-way หรือใช้สำหรับขาเข้าอย่างเดียวเท่านั้น อย่างไรก็ตามขาออกสามารถทำได้โดยการใช้ซอยสันติคาม 2 เพื่อทะลุไปยังซอยสุขุมวิท 111 หลังจากนั้นจะออกมายังถนนสุขุมวิท

การเข้าถึงแหล่งศูนย์การค้าต่างๆและสถานพยาบาล
ถนนที่เป็นที่ตั้งของบรรดาห้างสรรพสินค้ารวมถึงแหล่งเฟอร์นิเจอร์ขนาดใหญ่คือ ถนนบางนา – ตราด โดยไม่จำเป็นที่จะต้องอ้อมไปเข้าผ่านถนนสุขุมวิทแต่สามารถใช้ถนนเส้นศรีนครินทร์เพื่อเข้าสู่ถนนบางนา – ตราดได้ การเข้าสู่ถนนศรีนครินทร์นั้นสามารถนั่งรถหรือขับรถจากสุขุมวิท 113 ได้เลยซึ่งจากตำแหน่งที่ตั้งโครงการ เดอะ คิทท์ พลัส สุขุมวิท 113 จะอยู่ห่างจากปากซอยฝั่งถนนศรีนครินทร์ประมาณ 1 กม. เมื่อเลี้ยวซ้ายออกมาจากซอย 113 ให้ตรงไปเรื่อยๆจนเจอแยกที่สามารถเลี้ยวซ้ายออกไปยังถนนบางนาตราดได้ แต่โดยส่วนใหญ่ห้างสรรพสินค้าจะตั้งอยู่ฝั่งตรงข้ามดังนั้นจึงต้องทำการกลับรถเสียก่อน (ดูเส้นทางตามแผนที่ด้านล่าง) โดยถนนบางนาตราดเป็นที่ตั้งของแหล่งค้าปลีกใหญ่ต่างๆเช่น เซ็นทรัลฯ บางนา, เอสบี ดีไซน์, อินเด็กซ์ ลิฟวิ่ง มอลล์, เมกะบางนา และอิเกีย นอกจากห้างแล้วถนนบางนาตราดยังมีสองโรงพยาบาลตั้งอยู่ด้วยนั่นคือ โรงพยาบาลไทยนครินทร์ และโรงพยาบาลปิยมินทร์
ตำแหน่งของสถานที่ต่างๆทั้งศูนย์การค้าและโรงพยาบาล
การเข้าถึงจุดขึ้นลงทางด่วน
จุดขึ้นลงทางด่วนที่อยู่ใกล้กับซอยสุขุมวิท 113 ที่สุดตั้งอยู่ที่แยก บางนา – ตราด โดยก่อนถึงแยกนั้นจะมีสะพานยกระดับขึ้นไปยังด่านเก็บค่าผ่านทางพิเศษ


การเดินทางมายังโครงการ
สถานีรถไฟฟ้าที่อยู่ใกล้ที่สุด (ปัจจุบัน) คือสถานีแบริ่ง จากจุดตรงสถานีให้มุ่งหน้าต่อมาเรื่อยๆบนถนนฝั่งเลขคี่เพื่อไปสู่ซอยสุขุมวิท 113 โดยจะมีระยะทางประมาณ 1.4 กม.






สถานที่ Lifestyle
Harbin Ice Wonderland
ฮาร์บิน ไอซ์ วันเดอร์แลนด์ คือเมืองหิมะที่มีทั้งโซนเครื่องเล่นไสลด์เดอร์และโซนแสดงงานประติมากรรมน้ำแข็งจำลองสถานที่สำคัญของไทยและเมืองนอก

ตลาดนัดรถไฟศรีนครินทร์
ศูนย์รวมร้านเสื้อผ้าแฟชั่นและไอเทมเจ๋งๆโดยบรรดาพ่อค้าแม่ค้าวัยรุ่น อีกทั้งยังมีอาหารให้เลือกทานกันอย่างหลากหลาย

เซ็นทรัล พลาซ่า บางนา
เซ็นทรัลฯ บางนา จะพิเศษตรงที่มีสวนน้ำอยู่ชั้นบนสุดที่ชื่อว่า Pororo Water Park

บทวิเคราะห์
จำนวนซัพพลายด้านที่อยู่อาศัยที่อยู่ในช่วงระหว่างเปิดการขายในละแวกตั้งแต่สุขุมวิท 70 ถึง 113 มีประมาณ 5 โครงการ ซึ่งมีจำนวนยูนิตหลักหลายพัน โดยจากจำนวนซัพพลายที่ว่านี้มีดีมานด์การซื้อที่มาจากการลงทุนหรือเพื่อปล่อยเช่าประมาณ 30% สาเหตุที่ทำให้อุปสงค์การเช่ามีน้อยคือสุขุมวิทช่วงนี้ยังคงต้องใช้เวลาพอสมควรในเรื่องการเดินทางเพื่อเข้าสู่โซนซีบีดีทั้งอโศกและสีลม ดังนั้นความต้องการเช่าของผู้ที่ต้องทำงานในย่านเหล่านี้จึงถูกลดทอนลง
อย่างไรก็ตามสำหรับคนที่มีรถยนต์และยังคงต้องใช้ชีวิตหรือทำงานอยู่ในโซนบางนาหรือสุขุมวิทช่วงปลายนั้นยังคงมองหาที่อยู่อาศัยในลักษณะของห้องชุดที่มีราคาค่าเช่าอยู่ที่ประมาณ 5,000 บาท/เดือน ซึ่งราคานี้คือราคาปล่อยเช่าของโครงการ เดอะ คิทท์ พลัส สุขุมวิท 113 ซึ่งอัตรานี้อาจจะสูงกว่าโครงการที่แล้วเสร็จในโซนนี้ที่อยู่ที่ประมาณ 3,500 – 4,000 บาท/เดือน อย่างไรก็ตามราคาค่าเช่า 5,000 บาท ของการอยู่ในโครงการจากเสนาฯที่มาพร้อมระบบโซลาร์เซลล์นั้นทำให้ค่าไฟที่ต้องจ่ายลดน้อยลงนำไปสู่ราคาเฉลี่ยต่อเดือนทั้งราคาห้องและค่าไฟที่น้อยลง บางทีโดยรวมเฉลี่ยแล้วอาจจะทำให้ได้รายจ่ายต่อเดือนน้อยกว่าโครงการอื่นๆเสียด้วยซ้ำ
การขยับขึ้นของราคาที่ดินในย่านนี้ได้รับอานิสงส์ถัดมาจากช่วงสถานีแบริ่งที่อยู่ในกรอบประมาณ 60,000 – 70,000 แต่นี่คือราคาประเมินในช่วงที่โครงการรถไฟฟ้าส่วนต่อขยาย อ่อนนุช – แบริ่ง เปิดใช้บริการแล้ว คาดว่าราคาที่ดินช่วงบริเวณรอบสถานี สำโรง – ปู่เจ้าสมิงพราย จะขยับขึ้นใกล้เคียงในกรอบราคาเดียวกันหลังจากเปิดใช้บริการ อย่างไรก็ตามราคาซื้อขายจริงของที่ดินที่เกิดขึ้นอาจจะสูงกว่าราคาประเมินประมาณ 20 – 30% และในอนาคตหลังจากรถไฟฟ้าสายสีเหลืองเกิดขึ้นจริงสามารถกลายเป็นอีกปัจจัยที่ผลักดันให้ราคาประเมินที่ดินปรับตัวสูงขึ้นอีก
*ราคาประเมินที่ดินอ้างอิงจากข้อมูลโดยกรมธนารักษ์ที่ประะเมินในช่วงรอบปี 2559 – 2562
เปรียบเทียบโครงการ
1. Lesto Condo Sukhumvit 113 Interchange Station
ชื่อโครงการ: เลสโต คอนโด สุขุมวิท 113 อินเตอร์เชนจ์ สเตชั่น (Lesto Condo Sukhumvit 113 Interchange Station)
ผู้พัฒนาโครงการ: บริษัท บิลท์ แลนด์ จำกัด (มหาชน): PREB
ที่ตั้งโครงการ: ซอยสุขุมวิท 113 (วัดด่านสำโรง) ตำบลสำโรงเหนือ จังหวัดสมุทรปรากา
พื้นที่โครงการ: 7-0-44 ไร่
ประเภทของโครงการการ: คอนโดฯโลว์ไรส์ 8 ชั้น จำนวน 4 อาคาร
จำนวนยูนิต: 786 ยูนิต
รูปแบบห้องชุด: 1 ห้องนอน ขนาด 26.5 ตร.ม. และ 38 ตร.ม
ราคาเฉลี่ยเริ่มต้น: 999,999 บาท หรือ 37,000 บาท/ตร.ม. (บางยูนิต)
เว็บไซต์โครงการ: builtland.co.th/lestocondo
2. Lumpini Ville Sukhumvit 113
ชื่อโครงการ: ลุมพินี วิลล์ สุขุมวิท 113 (Lumpini Ville Sukhumvit 113)
ผู้พัฒนาโครงการ: บริษัท แอล พี เอ็น ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน): LPN
ที่ตั้งโครงการ: ซอยสุขุมวิท 113 (วัดด่านสำโรง) ตำบลสำโรงเหนือ จังหวัดสมุทรปราการ
พื้นที่โครงการ: ประมาณ 15 ไร่เศษ
ประเภทของโครงการการ: คอนโดฯโลว์ไรส์ 8 ชั้น จำนวน 6 อาคาร
จำนวนยูนิต: 1,514 ยูนิต
รูปแบบห้องชุด: 1 Bedroom : 22.50 – 26 ตร.ม., 2 Bedroom 35 ตร.ม.
.
ราคาเฉลี่ยเริ่มต้น: 970,000 บาท หรือ 43,000 บาท/ตร.ม.
เว็บไซต์โครงการ: lpn.co.th/LumpiniVilleSukhumvit113
ตำแหน่งของโครงการที่นำมาเปรียบเทียบ

ตารางเปรียบเทียบ
| ชื่อโครงการ | ยูนิต | พืนที่ใช้สอย | ราคาเฉลี่ย | ราคาขาย |
| The Kith Plus Sukhumvit 113 | 425 | 1 br 28 ตร.ม. | 35,000-40,000 บาท/ตร.ม. | 1.2 ล้านบาท |
| Lesto Condo Sukhumvit 113 Interchange Station | 786 | 26.5 และ 38 ตร.ม. | 37,000 บาท/ตร.ม. | 1.2 ล้านบาท |
| Lumpini Ville Sukhumvit 113 | 1,514 | 1 br 22.5-26 ตร.ม. 2 br 35 ตร.ม. |
43,000 บาท/ตร.ม. | 970,000 บาท |
สรุป
ถึงแม้ว่าจะมีอาคารอยู่อาศัย 2 อาคารแต่ถ้าดูจำนวนยูนิตเฉลี่ยต่ออาคารที่อยู่ที่ประมาณ 210 นั้นถือได้ว่าค่อนข้างมีความเป็นส่วนตัวไม่วุ่นวายจนเกินไป แต่เรื่องการจอดรถอาจจะต้องเป็นการจอดซ้อนคัน แต่ดูเหมือนว่าไฮไลท์หลักของการนำเทคโนโลยีแผงโซลาร์มาใช้สร้างความน่าสนใจแก่ตัวโครงการเป็นอย่างมาก เนื่องจากคนในยุคปัจจุบันนั้นหันมาใส่ใจสิ่งที่จะเป็นการช่วยอนุรักษ์ธรรมชาติมากขึ้น และจะเป็นการดีขึ้นไปอีกหากการช่วยธรรมชาตินั้นสามารถนำไปสู่การประหยัดไฟได้อีกด้วย
ด้านของส่วนกลางสิ่งที่ดูเหมือนว่าจะค่อนข้างหลากหลายคือพื้นที่สวนหย่อมนั่งเล่นที่กระจายตามจุดต่างๆของโครงการตั้งแต่จุดด้านล่างพื้นที่เดียวกับสระว่ายน้ำ และสวน ณ ตำแหน่ง void ที่อยู่ในทั้งสองอาคาร โดยแต่ละอาคารจะมีจำนวนสวนหย่อมที่มาพร้อมการออกแบบเป็นชั้น Duplex ถึงสองจุดด้วยกัน ดังนั้นวิวการพักผ่อนที่จะได้รับจะแตกต่างกันไป (ด้านล่างจะได้เป็น Garden View ด้านบนจะได้เป็น Sky View)
ด้านระบบขนส่งมวลชนเมื่อโครงการแล้วเสร็จจะสามารถมาลงยังบีทีเอสสำโรงได้เลยซึ่งจะอยู่ตำแหน่งใกล้กับซอยสุขุมวิท 113 จากปากซอยมายังตัวโครงการยังอยู่ในระยะที่สามาระเดินได้ แต่ถ้าจะให้เต็มศักยภาพจริงๆด้านระบบรถไฟฟ้าเห็นทีจะต้องใช้เวลาอีกประมาณ 4 – 5 ปีด้วยกันกว่าสายสีเหลือง (ลาดพร้าว – สำโรง) จะสร้างเสร็จจนมาบรรจบกันที่สถานีอินเตอร์เชนจ์สำโรงกับสายสีเขียวเข้ม สำหรับระยะเวลการเดินทางโดยรถไฟฟ้าจากสถานีสำโรงไปยังพื้นที่ประชากรหนาแน่นอย่าง อโศก, สยาม และสีลม ใช้เวลาประมาณ 20, 27 และ 30 นาทีตามลำดับ
ด้านราคาทางเสนาฯยังคงเลือกเจาะกลุ่มฐานลูกค้าระดับกลางลงไปซึ่งเป็นกลุ่มหลักของบริษัท โดยราคาเริ่มต้นยังอยู่ในความสามารถของลูกค้าที่มีรายได้ตั้งแต่สองหมื่นบาทขึ้นไปนั่นเอง จากฐานเงินเดือนนี้จะถูกหักไปเป็นค่าผ่อนแบ้งก์ต่อเดือนที่ประมาณ 8,000 บาท (แบ่งเป็นการชำระดอกเบี้ย 4,000 บาท, เงินต้น 4,000 บาท) คิดที่ดอกเบี้ยคงที่เฉลี่ยสามปีแรกประมาณ 5%
สนใจ คอนโดฯ ในโครงการนี้? เลือกชม รายการประกาศ ราคาโดนใจ












