“หนี้สินที่เกิดขึ้นหลังแต่งงานบางประเภท แม้ไม่ได้ก่อหนี้ร่วมกัน ก็ต้องรับผิดชอบด้วยกัน” K-Expert
เมื่อพูดถึงการใช้ชีวิตคู่ร่วมกันของคนสองคน เรื่องเงิน ๆ ทอง ๆ ถือเป็นเรื่องสำคัญที่คู่ชีวิตต้องมีการตัดสินใจร่วมกัน โดยหลายท่านอาจเกิดข้อสงสัยว่า หากมีภาระหนี้สินเกิดขึ้นในช่วงก่อนแต่งงานและหลังแต่งงาน ภาระหนี้สินเหล่านี้จะตกเป็นของใคร คู่ชีวิตทั้งสองคนต้องรับผิดชอบภาระหนี้สินร่วมกันหรือไม่ ซึ่ง K-Expert ได้ไปหาคำตอบเพื่อคลายข้อสงสัยเหล่านี้แล้ว
หนี้สินก่อนแต่งงาน
ก่อนที่คู่สมรสจะจดทะเบียนสมรส ถ้าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งมีหนี้สินติดตัวมาไม่ว่าจะเป็นหนี้บ้าน หนี้บัตรเครดิต หรือหนี้จากการทำธุรกิจ เมื่อจดทะเบียนสมรสกันแล้ว สบายใจได้ครับที่อีกฝ่ายไม่จำเป็นต้องรับผิดชอบภาระหนี้ของฝ่ายที่มีภาระหนี้
ยกตัวอย่างเช่น ก่อนจดทะเบียนสมรสกับฝ่ายหญิง 6 เดือน ฝ่ายชายได้ขอสินเชื่อเพื่อทำธุรกิจ หลังจากนั้น 1 ปี ธุรกิจดำเนินไปได้ไม่ดี ทำให้ฝ่ายชายไม่สามารถชำระหนี้ได้ กรณีนี้ ธนาคารที่เป็นเจ้าหนี้จะไปเรียกร้องหนี้ส่วนนี้จากสินส่วนตัวของฝ่ายชาย และหากสินส่วนตัวไม่เพียงพอ ก็จะไปเรียกร้องจากสินสมรสของฝ่ายชาย (ครึ่งหนึ่งของสินสมรส) โดยฝ่ายหญิงไม่ต้องรับผิดชอบภาระหนี้ส่วนนี้ เพราะเป็นหนี้ที่เกิดขึ้นก่อนฝ่ายชายจดทะเบียนสมรส
หนี้สินหลังแต่งงาน
สำหรับหนี้สินที่เกิดขึ้นหลังจากที่จดทะเบียนสมรสกันแล้ว โดยปกติจะเป็นหนี้ส่วนตัวคล้ายกับกรณีของหนี้สินที่เกิดขึ้นก่อนจดทะเบียนสมรส หากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งก่อภาระหนี้และไม่สามารถจ่ายชำระหนี้ก้อนนั้นได้ จะต้องนำสินส่วนตัวมาชำระหนี้ และถ้าสินส่วนตัวไม่เพียงพอ ก็ต้องนำสินสมรสส่วนของตัวเองมาชำระหนี้ต่อไป
ทั้งนี้ มีหนี้สินอยู่ 4 ประเภท ที่แม้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเป็นผู้ก่อหนี้ แต่เป็นหนี้ร่วมที่ทั้งสองคนต้องรับผิดชอบร่วมกัน มีรายละเอียดดังนี้
หนี้สินที่เกี่ยวกับสินสมรส
ยกตัวอย่างเช่น หากสามีกู้ยืมเงินเพื่อมาต่อเติมบ้าน โดยที่บ้านหลังนี้เป็นสินสมรส หนี้ก้อนนี้จะถือว่าเป็นหนี้ร่วมกัน ซึ่งภรรยาต้องร่วมรับผิดชอบด้วย
หนี้สินที่เกี่ยวกับการจัดการบ้านเรือนและสิ่งจำเป็นในครอบครัว
ยกตัวอย่างเช่น หนี้สินที่เกี่ยวกับการเลี้ยงดู การรักษาพยาบาลคนในครอบครัว การศึกษาบุตร โดยกฎหมายระบุว่า จำนวนบุคคลและจำนวนหนี้ต้องสมเหตุสมผลตามอัตภาพ
หนี้สินจากอาชีพการงานที่ทำร่วมกันระหว่างคู่สมรส
หากสามีภรรยาทำธุรกิจร่วมกัน ทั้งคู่ต้องรับผิดชอบภาระหนี้จากการทำธุรกิจร่วมกัน แม้ว่าชื่อของลูกหนี้จะเป็นชื่อของคู่สมรสฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งก็ตาม
หนี้สินที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งก่อขึ้นเพื่อประโยชน์ของตนฝ่ายเดียว แต่อีกฝ่ายหนึ่งได้ให้สัตยาบัน
การให้สัตยาบันจะทำให้หนี้ดังกล่าวกลายเป็นหนี้ร่วมที่ทั้ง 2 ฝ่ายต้องรับผิดชอบร่วมกัน ยกตัวอย่างเช่น สามีทำสัญญาขอสินเชื่อ หากภรรยาเป็นพยานไม่ว่าจะเป็นทางวาจาหรือการทำหนังสือ สินเชื่อดังกล่าวจะเป็นหนี้ร่วมของสามีและภรรยา
อย่างไรก็ตาม ถ้าเป็นหนี้ที่เกิดขึ้นก่อนสมรส แม้ว่าอีกฝ่ายมีการให้สัตยาบันในการยอมรับหนี้ดังกล่าว หนี้ก้อนนี้ยังเป็นหนี้ของฝ่ายที่เป็นผู้ก่อหนี้ฝ่ายเดียว โดยที่อีกฝ่ายไม่จำเป็นต้องรับผิดชอบภาระหนี้ดังกล่าว
กรณีที่สามีภรรยาเป็นหนี้ร่วมกัน ในการบังคับชำระหนี้ เจ้าหนี้จะยึดสินส่วนตัวก่อนหรือสินสมรสก่อนก็ได้ ซึ่งหากเจ้าหนี้ต้องการยึดสินส่วนตัว สามารถเลือกได้ว่า จะยึดสินส่วนตัวของฝ่ายใดก่อนก็ได้
ก่อนเป็นหนี้ อยากให้หันหน้าพูดคุยตกลงกัน รับรู้สถานะการเงินของครอบครัวด้วยกัน และเมื่อมีภาระหนี้เกิดขึ้นร่วมกันของคู่สมรส การร่วมมือร่วมใจกันบริหารรายได้และค่าใช้จ่ายต่าง ๆ จะช่วยลดปัญหาการค้างชำระหนี้ ทำให้ไม่ต้องพบกับการยึดทรัพย์จากเจ้าหนี้ได้
บทความอื่น ๆ ที่คุณอาจสนใจ
หากคุณมีข้อสงสัยเกี่ยวกับเรื่องบ้าน สามารถเข้าไปค้นหาคำตอบได้ที่ เว็บบอร์ด Askguru ที่จะช่วยตอบทุกคำถาม ในขณะเดียวกันสำหรับคนที่สนใจจะซื้อหรือเช่า เรายังมี ทำเลที่น่าสนใจอีกมากมายใน AreaInsider และมีโครงการบ้าน-คอนโดฯ ให้คุณค้นหา
เรื่องข้างต้นนี้เขียนโดย คนอง ศรีพิบูลพานิชย์ CFP® ฝ่ายวางแผนและให้คำปรึกษาลูกค้าบุคคล ธนาคารกสิกรไทย หากมีคำถามเพิ่มเติมสามารถปรึกษากับ K-Expert ธนาคารกสิกรไทย ได้ที่
K-Expert@kasikornbank.com
K-Expert@kasikornbank.com
ข้อจำกัดความรับผิดชอบ: ข้อมูลนี้จัดทำขึ้นเพื่อเป็นข้อมูลทั่วไปเท่านั้น DDproperty by PropertyGuru ซึ่งอยู่ภายใต้การดูแลของบริษัท ออลพร็อพเพอร์ตี้ มีเดีย จำกัด ไม่สามารถรับรองหรือรับประกันเกี่ยวกับข้อมูล รวมทั้งไม่สามารถรับรองหรือรับประกันใด ๆ เกี่ยวกับความเหมาะสม สำหรับวัตถุประสงค์เฉพาะใด ๆ ของข้อมูล ตามขอบเขตสูงสุดที่กฎหมายอนุญาต แม้ว่าเราได้พยายามอย่างเต็มที่ เพื่อให้แน่ใจว่าข้อมูลที่ให้ไว้ในบทความนี้ถูกต้อง เชื่อถือได้ และครบถ้วน ณ เวลาที่เขียน แต่ข้อมูลที่ให้ไว้ในบทความนี้ไม่ควรนำไปใช้ในการตัดสินใจทางการเงิน, การลงทุนอสังหาริมทรัพย์ หรือทางกฎหมายทันที ผู้อ่านไม่ควรใช้ข้อมูลในบทความ แทนคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญที่ผ่านการฝึกอบรมซึ่งสามารถพิจารณาข้อเท็จจริงและสถานการณ์ส่วนตัวของคุณได้ ทั้งนี้ เราไม่สามารถรับผิดชอบใด ๆ หากคุณเลือกที่จะนำข้อมูลไปใช้เพื่อประกอบการตัดสินใจ