จะหาที่อยู่ ซื้อหรือเช่าดี 4 วิธีเลือกให้เหมาะกับคุณที่สุด

หากคุณกำลังวางแผนจะหาที่อยู่ ไม่ว่าจะเป็นบ้านหรือคอนโด แต่ไม่รู้จะซื้อหรือเช่าดี เพราะถือว่าเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจทั้งคู่ ลองมาดู 4 ปัจจัยที่ควรนำมาพิจารณา ข้อดี-ข้อด้อยของแต่ละแบบว่าเหมาะกับใคร เพื่อหาคำตอบให้ได้ว่าการที่คุณจะหาที่อยู่ ซื้อหรือเช่าดีจากบทความนี้

ก่อนจะตอบคำถามได้ว่าจะหาที่อยู่ ซื้อหรือเช่าดีนั้น ต้องมาดูกันก่อนว่าข้อดี-ข้อด้อยของการซื้อและการเช่าเป็นอย่างไร

การซื้อบ้านหรือคอนโด ต้องมีค่าใช้จ่ายจำนวนมาก ตั้งแต่เงินจอง เงินดาวน์ เงินผ่อนแต่ละเดือน ค่าโอนกรรมสิทธิ์ ค่าจดจำนอง ซึ่งผู้ที่ต้องการจะซื้อบ้านหรือซื้อคอนโดต้องเตรียมเงินในส่วนนี้เอาไว้

โดยปกติธนาคารจะปล่อยกู้สินเชื่อบ้าน-คอนโด ดังนี้

หมายเหตุ: ตารางข้างต้นเป็นการประมาณคร่าว ๆ เท่านั้น

แตกต่างจากผู้ที่ตัดสินใจเช่าบ้าน หรือเช่าคอนโด ส่วนใหญ่มีเงินค่าเช่าล่วงหน้า 1-2 เดือนก็สามารถเข้าอยู่ได้แล้ว

นอกจากจะมีเงินก้อนที่ต้องใช้ในการได้มาเป็นเจ้าของแล้ว อีกหนึ่งข้อที่ต้องพิจารณาว่าจะหาที่อยู่ ซื้อหรือเช่าดี คือ ค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ทั้งในปัจจุบันและอนาคต หากคุณตัดสินใจซื้อบ้านหรือคอนโดสักแห่งหนึ่ง จะต้องมีค่าใช้จ่ายจิปาถะอื่น ๆ ตามมา ไม่ว่าจะเป็น

– ค่าส่วนกลาง ซึ่งหากมีพื้นที่ใช้สอยเยอะในกรณีของคอนโด หรือเนื้อที่เยอะในกรณีของบ้าน ก็ต้องจ่ายค่าส่วนกลางเยอะตามไปด้วย ค่าตกแต่ง หากเป็นคอนโดปัจจุบันมักมีการตกแต่งพร้อมเฟอร์นิเจอร์ไม่ว่าจะเป็น Fully furnished หรือ Fully fitted มาให้แล้วบางส่วน แต่หากเป็นบ้านเดี่ยว ส่วนใหญ่จะขายเป็นบ้านเปล่า ซึ่งคุณต้องมาเสียค่าตกแต่ง หรือหาเฟอร์นิเจอร์เพิ่มเติมเอง

– ค่าซ่อมบำรุงต่าง ๆ เมื่อตกลงโอนกรรมสิทธิ์กันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว หากมีความเสียหายเกิดขึ้นจากการใช้งาน หรือการเสียหายตามกาลเวลา (โดยเฉพาะหลังจากหมดการรับประกัน) คุณจะต้องเสียค่าซ่อมบำรุงต่าง ๆ เอง

ส่วนการเช่านั้น บางครั้งอาจจะต้องเสียค่าซื้อเฟอร์นิเจอร์ หรือเครื่องใช้ไฟฟ้าบางอย่างเองบ้าง แต่ก็น้อยกว่าการซื้อ ด้านค่าซ่อมบำรุงต่าง ๆ อยู่ที่การพูดคุยกับเจ้าของที่อยู่อาศัย ซึ่งบางคนยินดีที่จะดูแลในส่วนนี้ให้ทั้งค่าซ่อมบำรุง และค่าดูแลรักษาอุปกรณ์ไฟฟ้าต่าง ๆ

ข้อสำคัญของการจะหาที่อยู่ ซื้อหรือเช่าดีอีกอย่างหนึ่งคือขั้นตอนในการเป็นเจ้าของ การเช่าแม้จะเรียกไม่ได้ว่าเป็นเจ้าของได้เต็มปากนักแต่ก็ขออนุมานว่าการเข้าอยู่ถือเป็นเจ้าของระยะหนึ่ง ซึ่งการเช่าก็มีขั้นตอนไม่ยุ่งยาก เพียงแค่เลือกห้อง ทำสัญญากับเจ้าของห้อง ก็สามารถเข้าอยู่ได้แล้ว

ส่วนการเป็นเจ้าของบ้านหรือคอนโดของตัวเอง แน่นอนว่าข้อดีคือ ความเป็นเจ้าของสมบูรณ์แบบหลังจากการโอนกรรมสิทธิ์ แต่ก่อนหน้านั้นต้องเลือกบ้าน หรือเลือกห้อง วางเงินจอง จ่ายเงินดาวน์ เตรียมเอกสาร ขอสินเชื่อ ตรวจรับห้อง โอนกรรมสิทธิ์ ยังไม่นับรวมการตกแต่งห้องให้ตอบโจทย์ตรงใจ จะเห็นได้ว่ากว่าจะเป็นเจ้าของต้องมีขั้นตอนมากมาย

หากเลือกที่จะซื้อที่อยู่อาศัยแทนการเช่า การเปลี่ยนที่อยู่ก็ทำได้ยากกว่า เนื่องจากการซื้อที่อยู่ก็เหมือนการตัดสินใจลงหลักปักฐาน และต้องมีภาระหนี้ที่ผูกพันระยะยาว หากตัดสินใจอยู่อาศัยแล้ว เจอปัญหาเพื่อนบ้านไม่น่ารัก หรือทำเลไม่น่าอยู่อย่างที่คิดไว้ การจะเปลี่ยนที่อยู่อาศัยก็ทำได้ยากกว่า ไหนจะพันธะผูกพันทางด้านการเงิน จะหาที่อยู่ใหม่ก็ใช่ว่าจะหากันได้ง่าย ๆ เพราะมีเรื่องค่าใช้จ่ายตามมา

ต่างการจากเช่า หากเพื่อนบ้าน หรือเพื่อนข้างห้องไม่น่ารัก ทำเลไม่น่าอยู่อย่างที่คิด หรือต้องเปลี่ยนงานกะทันหัน ก็สามารถย้ายออกได้ทันที

แต่หากมีการทำสัญญา ผู้เช่าบอกเลิกสัญญาเช่าก่อนครบอายุสัญญาได้แต่ต้องพักอาศัยมาแล้วไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของระยะเวลาตามสัญญา และต้องบอกกล่าวล่วงหน้าเป็นหนังสือไม่น้อยกว่า 30 วัน (อ้างอิงจากประกาศคณะกรรมการว่าด้วยสัญญา เรื่อง ให้ธุรกิจการให้เช่าอาคารเพื่ออยู่อาศัยเป็นธุรกิจที่ควบคุมสัญญา พ.ศ. 2562

แม้ว่าจาก 4 ข้อข้างต้นจะเหมือนว่าการเช่าดูดีกว่า แต่ข้อดีของการซื้อก็คือความเป็นเจ้าของในอสังหาริมทรัพย์นั้น แล้วยังสามารถนำบ้านหรือคอนโดเหล่านั้นมาลงทุน ไม่ว่าจะเป็นการปล่อยเช่า หรือขายต่อได้ ซึ่งหากตัดสินใจเช่าอยู่จะไม่สามารถทำได้

เชื่อว่าหากคุณกำลังติดสินใจว่าจะหาที่อยู่ ซื้อหรือเช่าดีเมื่ออ่านบทความนี้จะช่วยให้คุณเลือกได้ดีขึ้น แต่ไม่ว่าจะซื้อหรือเช่าอยู่สิ่งหนึ่งที่ต้องมีคือวินัยทางการเงิน เพราะหากขาดไป ไม่ว่าจะเป็นขาดส่งเงินงวดในการผ่อนบ้าน หรือขาดส่งค่าเช่าก็ไม่ส่งผลดีอย่างแน่นอน