“การซื้อบ้าน ยิ่งเตรียมตัวเร็ว ยิ่งเข้าใกล้บ้านในฝันเร็ว” – K-Expert
หนึ่งในความฝันของหลายๆ คนคงหนีไม่พ้นการเป็นเจ้าของบ้านในฝันสักหลังหนึ่ง ซึ่งการซื้อบ้าน นอกจากเรื่องของทำเลแล้ว สิ่งที่ขาดไม่ได้เลย ก็คือ งบประมาณในการซื้อบ้าน ยิ่งซื้อบ้านด้วยการขอสินเชื่อ ยิ่งต้องมีการวางแผน 2 เรื่องใหญ่ๆ ด้วยกัน คือ การเตรียมตัวก่อนขอสินเชื่อ และ ปัจจัยที่ช่วยให้ผ่อนสบายกระเป๋า ซึ่งรายละเอียดเป็นอย่างไรนั้น K-Expert มีข้อมูลมาฝากค่ะ
ขอเริ่มที่เรื่องแรกก่อนเลย นั่นคือ การเตรียมตัวเตรียมใจก่อนขอสินเชื่อ ซึ่งมีสิ่งที่ต้องเตรียมดังนี้
1. เตรียม Statement ให้พร้อม
เช่น สลิปเงินเดือน หรือหนังสือรับรองเงินเดือน แต่หากทำอาชีพอิสระค้าขายทั่วไป ไม่มีเงินเดือนประจำ ก็สามารถกู้ได้ โดยเตรียมหลักฐานแสดงที่มาที่ไปของเงินให้ชัดเจน เช่น บัญชีเงินฝากที่มียอดรายได้เข้าสม่ำเสมอ การเดินบัญชีกระแสรายวัน การใช้เช็ค เป็นต้น เพื่อสร้างความมั่นใจในการชำระหนี้คืนได้
2. รักษาเครดิต
ในการขอสินเชื่อจะมีการตรวจสอบสถานะสินเชื่อและประวัติการชำระหนี้ที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็นประวัติการผ่อนบ้าน ผ่อนรถ ผ่อนสินเชื่อส่วนบุคคล รวมถึงการใช้บัตรกดเงินสด หรือบัตรเครดิต โดยการตรวจสอบเครดิตบูโร ดังนั้น ควรจะรักษาเครดิตหรือประวัติการผ่อนชำระหนี้ให้ดี เพื่อไม่ให้เป็นข้อจำกัดในการขอสินเชื่อ
3. กันเงินสำรองเผื่อฉุกเฉิน
ก่อนกู้บ้านควรกันเงินสำรองเผื่อฉุกเฉินไว้ประมาณ 6 เท่าของค่าใช้จ่ายต่อเดือน เพราะถ้ามีเหตุฉุกเฉินต้องใช้เงินขึ้นมาระหว่างที่ผ่อนชำระสินเชื่อบ้าน เช่น เจ็บป่วยไม่สบาย ใช้เงินซ่อมบ้าน ซ่อมรถ หรือว่างงานขาดรายได้ จะได้นำเงินสำรองมาใช้จ่ายได้ทันที และไม่กระทบกับการผ่อนบ้านค่ะ
หลังจากที่เตรียมตัวกู้บ้านพร้อมแล้ว ก็ถึงเวลา ผ่อนบ้านให้สบายกระเป๋า ซึ่งมี 4 ปัจจัยที่ต้องคำนึง ดังนี้
1. เก็บออมเงินดาวน์
โดยทั่วไปธนาคารหรือสถาบันการเงินมักให้วงเงินกู้บ้านประมาณ 80-90% ของราคาบ้าน ทำให้ผู้ที่จะซื้อบ้านต้องมีเงินดาวน์อย่างน้อย 10-20% ของราคาบ้าน ดังนั้น หากซื้อบ้านราคาสัก 3 ล้านบาท ควรมีเงินดาวน์บ้านอย่างน้อย 3 แสนบาท แต่ยิ่งมีเงินดาวน์มากก็ยิ่งช่วยลดภาระการผ่อนชำระลง เวลาขอสินเชื่อจะได้ผ่อนอย่างสบายกระเป๋ามากขึ้น สำหรับการเก็บออมเงินดาวน์สามารถเก็บออมในกองทุนรวมตลาดเงิน เพื่อให้มีโอกาสได้รับผลตอบแทนที่สูงกว่าเงินฝากออมทรัพย์ทั่วไป หรือเก็บออมในเงินฝากประจำปลอดภาษี 24 เดือน ถ้าวางแผนจะดาวน์บ้านในอีก 2 ปีข้างหน้า
2. ยอดผ่อนชำระต่อเดือน
โดยทั่วไปธนาคารหรือสถาบันการเงินมักให้มียอดผ่อนต่อเดือนไม่เกิน 40% ของรายได้ต่อเดือน ทั้งนี้ K-Expert แนะนำว่า ภาระผ่อนชำระหนี้ไม่ควรเกิน 30% ของรายได้ต่อเดือน จะได้ไม่เป็นภาระที่หนักเกินไป เพราะเมื่อซื้อบ้านแล้ว มักมีค่าใช้จ่ายต่างๆ ตามมา เช่น ค่าประกัน ค่าส่วนกลาง ค่าเฟอร์นิเจอร์ตกแต่งบ้าน เป็นต้น โดยทั่วไปหากขอสินเชื่อจำนวน 1 ล้านบาท ระยะเวลาผ่อน 30 ปี อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 7% ต่อปี จะมียอดผ่อนชำระประมาณ 8,000 บาทต่อเดือน ก็ควรมีรายได้ต่อเดือนประมาณ 27,000 บาท ทั้งนี้ หากรายได้คนเดียวผ่อนไม่ไหว ก็สามารถกู้ร่วมได้ โดยผู้กู้ร่วมต้องมีความสัมพันธ์ทางสายเลือด หรือเป็นสามีภรรยากันค่ะ
3. ระยะเวลาในการผ่อนชำระ
ปกติผู้กู้สามารถผ่อนบ้านได้สูงสุด 30 ปี และเมื่อรวมกับอายุของผู้กู้แล้ว ต้องไม่เกิน 60-65 ปี (ช่วงอายุเกษียณ) ซึ่งระยะเวลาผ่อนสั้นจะมียอดผ่อนชำระต่อเดือนมากกว่าระยะเวลาผ่อนยาว โดยหากมีความสามารถในการผ่อนสูงก็สามารถเลือกผ่อนสั้นได้ เพื่อให้หมดภาระเร็วและประหยัดค่าดอกเบี้ยจ่าย
4. รูปแบบอัตราดอกเบี้ย
ธนาคารหรือสถาบันการเงินมักมีทางเลือกให้กับผู้ขอสินเชื่อ ดังนั้นควรเลือกอัตราดอกเบี้ยแบบคงที่ เมื่ออัตราดอกเบี้ยมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น และควรเลือกอัตราดอกเบี้ยแบบลอยตัว เมื่ออัตราดอกเบี้ยมีแนวโน้มลดลงค่ะ
การซื้อบ้านสักหลังหนึ่งไม่ใช่เรื่องยาก หากเรามีการเตรียมพร้อม และวางแผนการผ่อนชำระให้ดี เพื่อไม่ให้มีปัญหาการเงินตามมา ทั้งนี้ ผู้ที่กู้ซื้อบ้านอย่าลืมนำดอกเบี้ยจ่ายมาลดหย่อนภาษีนะคะ ซึ่งลดหย่อนได้สูงสุดไม่เกิน 1 แสนบาท เป็นการบรรเทาค่าใช้จ่ายทางภาษี หรือช่วยเพิ่มเงินในกระเป๋าให้มากขึ้นค่ะ ติดตามบทความที่เกี่ยวข้องกับการซื้อบ้านได้ที่ K-Expert
เรื่องข้างต้นนี้เขียนโดย นิชฌานี ฉันทศาสตร์, CFP® K-Expert ฝ่ายวางแผนและให้คำปรึกษาลูกค้าบุคคล ธนาคารกสิกรไทย หากมีคำถามเพิ่มเติมสามารถปรึกษากับ K-Expert ธนาคารกสิกรไทย ได้ที่ K-Expert@kasikornbank.com
สนใจรับบทความดีดี อัปเดต ข่าวอสังหาริมทรัพย์ และ อ่านคู่มือซื้อขาย พร้อม รีวิวโครงการคอนโดฯ ใหม่ บ้านใหม่ หลากหลายทำเลและราคา รวมถึง ทำความรู้จักกับทำเลฮอตทั่วกรุง เพื่อเพิ่มความมั่นใจในการซื้อ-ขาย-เช่า