บ้านไม่ได้สำคัญที่ขนาด แต่ต้องตอบโจทย์ผู้อยู่อาศัย

ด้วยอาชีพ Freelance ด้าน Graphic Design และ Online Content ทำให้ที่อยู่อาศัยต้องสามารถเป็นที่ทำงานได้ และต้องเดินทางสะดวกสบาย นั่นคือวิธีคิดในการเลือกที่อยู่อาศัยสำหรับคุณกิ๊บ ศุทธิมน อุนนาภิรักษ์ จากเพจ giftounblog

โดยคุณกิ๊บมีประสบการณ์การอยู่อาศัยกับที่อยู่อาศัยหลากหลายประเภทมาแล้ว ทำให้เธอเข้าใจความต้องการของตัวเองเป็นอย่างดีว่าที่อยู่อาศัยแบบไหนที่จะเหมาะและตอบโจทย์สำหรับการสร้างบ้านสร้างครอบครัวให้กับตัวเธอเองและว่าที่คู่ชีวิตของเธอ

เดิมกิ๊บเกิดและเติบโตในทาวน์เฮาส์ที่คุณพ่อคุณแม่ซื้อไว้ จนอายุ 23 ปี คุณพ่อคุณแม่เกษียณแล้วท่านอยากจะอยู่สบายขึ้น จึงรวบรวมเงินเก็บจากการทำงานมาซื้อบ้านเดี่ยวย่านจรัญสนิทวงศ์ คือ บ้านที่อยู่ปัจจุบัน อยู่มาได้ 7 ปีแล้ว ซึ่งจริง ๆ ก็ห่างจากบ้านเดิมเพียงแค่ซอยเดียวเอง ส่วนในอนาคตมีแผนจะซื้อคอนโดอยู่กับแฟนหลังแต่งงาน

การตัดสินใจซื้อบ้าน ย้ายบ้านแต่ละครั้ง คุณพ่อคุณแม่เป็นคนตัดสินใจเป็นหลัก ตอนคุณพ่อคุณแม่เพิ่งแต่งงานสร้างครอบครัวกันใหม่ ๆ ท่านเคยอยู่คอนโดขนาด 36 ตารางเมตรมาก่อน แต่ท่านก็รู้สึกอึดอัดกับการอยู่คอนโดเหมือนกัน ท่านจะบ่นตลอดว่าอยู่คอนโดไม่สบาย ยิ่งถ้ามีของเยอะ ยิ่งรก ไม่มีที่เก็บ ช่วงนั้นพอดีจังหวะมีคนรู้จักแนะนำท่านว่ามีทาวน์เฮ้าส์ตรงนี้ว่าง งบเราถึง ก็เลยย้ายมา ซึ่งเป็นจังหวะที่คุณแม่คลอดพี่สาว

ส่วนตอนซื้อบ้านเดี่ยวก็คุยกันหลายรอบกับคุณแม่ เพราะคุณแม่อยากย้ายมาอยู่บ้านเดี่ยวที่มีพื้นที่มากขึ้น ซึ่งทาวน์เฮ้าส์ไม่ได้มีพื้นที่มากขนาดนั้น ผนังก็ชิดกัน แม้สภาพแวดล้อมจะไม่ได้แย่มาก แต่ก็ไม่ดีที่สุด

“คุณแม่ท่านอยากอยู่บ้านเดี่ยวมาก ท่านจึงเป็นคนจัดการเรื่องทั้งหมด พอท่านรู้ว่าจะมีโครงการนี้ขึ้นท่านก็รีบไป รีบซื้อ รีบจองแล้วเสร็จค่อยกลับมาบอกคุณพ่อ คุณพ่อก็จะกังวลกลัวว่าจะผ่อนไม่ไหว แต่คุณแม่เป็นฝ่ายบัญชีของบ้าน ท่านก็รู้ว่าสามารถซื้อบ้านโครงการนี้ได้สบาย ๆ ทำให้คุณพ่อเพิ่งรู้ว่าคุณแม่เก็บเงินเก่งมาก”

สำหรับที่อยู่ปัจจุบันที่เป็นบ้านเดี่ยว บอกไปแล้วแม่จะเสียใจไหมคือยังไม่ค่อยตรงใจเท่าไหร่ ด้วยอะไรหลาย ๆ อย่าง ทั้งเรื่องที่คุณแม่ซื้อโดยไม่ได้ถามกิ๊บเลย แล้วการเดินทางค่อนข้างลำบากกว่าคือไม่สะดวกเหมือนบ้านเก่า ทั้งที่ห่างจากบ้านเก่าเพียงแค่ซอยเดียว แต่บ้านใหม่อยู่ในซอยลึกมาก ตอนเรียนจึงต้องให้พ่อไปส่งตลอด ก็รู้สึกเกรงใจพ่อมาก

“ถ้าเป็นบ้านเก่า เดินแค่ 800 เมตร ก็ขึ้นรถเมล์ไปเรียนได้ พอย้ายมาอยู่บ้านใหม่ตอนนั้นเรียนคณะสถาปัตย์ฯ ม.ศิลปากร ปี 5 พอดี ก็ต้องเดินทางลำบากขึ้น อีกเรื่องคือบ้านหลังเก่ามักจะมีรถเข็นผ่านหน้าบ้านเราก็ได้ยินเสียงกระดิ่งดังกุ๊งกิ๊ง ๆ จนเคยชิน แต่พอบ้านใหม่มันเงียบมาก”

ปัจจุบันพื้นที่ที่ใช้เวลาอยู่ด้วยมากที่สุดในบ้านก็คือมุมทำงาน ช่วงแรกจะไปทำงานที่ห้องเก็บของ คือ เป็นห้องเก็บของก็จริง แต่ยังพอมีพื้นที่แบ่งเป็นที่ทำงานได้ แต่ปัญหาคือ ยุงเยอะ แล้วส่วนตัวเป็นคนที่ยุงจะเข้าหาตลอด และภายในห้องก็ไม่ได้ถ่ายเทอากาศมาก จะอบอ้าวนิด ๆ เลยไม่เหมาะเท่าไหร่ หลังจากนั้นจึงย้ายมาทำงานที่ห้องรับประทานอาหารที่มีโทรทัศน์ด้วย เพราะอยากทำงานไปด้วยดูโทรทัศน์ไปด้วยได้

แปลนห้องจะประหลาด ๆ นิดหน่อย เพราะมีโต๊ะรับประทานอาหารคั่นกลางระหว่าง โทรทัศน์กับโต๊ะทำงาน เหมือนข้าง ๆ โต๊ะรับประทานอาหารมีโต๊ะงอกออกมาอีกตัว เก้าอี้ที่ใช้ก็เป็นเก้าอี้หมุนสามารถหมุนจากโต๊ะทำงานมาใช้นั่งกินข้าวได้ด้วย แม้จะดูแปลก ๆ แต่เป็นมุมที่เหมาะกับการทำงาน และเราใช้เวลาอยู่ตรงนี้มากที่สุด”

ถ้าถามถึงข้อดีของการย้ายมาอยู่บ้านนี้คือ สะอาดมาก ต้องยกความดีให้คุณพ่อคุณแม่ ท่านเป็นคนดูแลบ้านดี ท่านจะให้รกเป็นจุด ๆ ไป จะมีห้องเก็บของ ต่างจากบ้านเก่าที่จะรกทุกส่วน เพราะของเยอะเหมือนกัน นอกจากนี้รอบบ้านยังปลูกต้นใหม่ ให้ความรู้สึกว่าเป็นบ้านใหม่จริง ๆ

นอกจากนี้ สภาพแวดล้อมของบ้านที่อยู่ในปัจจุบันยังเหมาะกับการออกกำลังกายอย่างมาก เราก็จะใช้ฟิตเนสบ้าง รวมทั้งยังมีสนามหญ้าที่ให้เราไปเดินเล่น วิ่ง หรือพักผ่อนได้ด้วย เป็นอีกสิ่งที่ชอบที่สุดของบ้านใหม่

กิ๊บไม่ชอบบ้านหลังใหญ่ ด้วยความที่เราเคยชินกับทาวน์เฮ้าส์ที่เพียงแค่ปิดประตูหน้าบ้าน-หลังบ้านก็คือจบ แต่บ้านใหม่หลังใหญ่ ประตู-หน้าต่างเยอะมาก แล้วเราเป็นคนที่นอนดึกที่สุดในบ้าน เพราะสะดวกกับการทำงานตอนกลางคืนในห้องนั่งเล่น จึงต้องเป็นคนปิดบ้านตลอด ต้องมาปิดบานโน้น ปิดบานนี้ ยิ่งเมื่อก่อนมีสัญญาณกันขโมยก็เพิ่มขั้นตอนในการปิดขึ้นไปอีก ก็เลือกแก้ปัญหานี้ด้วยการที่นอนเร็วกว่าพ่อแม่ ย้ายไปทำงานในห้องนอน แต่ก็ไม่ได้จริง ๆ เพราะห้องนอนเล็กมากไม่มีพื้นที่เพียงพอในการทำงาน หรือว่าทำงานบนเตียงก็ปวดหลัง

“สุดท้ายก็เลยใช้วิธีซึ่งคุณพ่อไม่ชอบ คือ ปิดบ้านทั้งหมดแล้วทำงาน ซึ่งคุณพ่อก็กลัวว่าจะไม่มีอากาศหายใจ แต่เราก็เปิดพัดลม แล้วกลางคืนก็อากาศเย็นนะ เพราะพอทำงานเสร็จแล้วมันก็ง่วงมาก ปิดบ้านทั้งหมดไม่ไหวจริง ๆ จึงทำให้รู้สึกว่าคอนโดน่าจะเหมาะกับกิ๊บมากกว่า”

เนื่องจากมีแผนจะแต่งงานปีหน้า กิ๊บกับแฟนก็คุยกันเยอะว่าจะซื้อบ้านหรือซื้อคอนโดเป็นเรือนหอดี เพราะว่าก็มีข้อดี ข้อเสียต่างกันหลายข้อ ถ้าเราซื้อบ้านก็จะได้พื้นที่เยอะ แต่ด้วยงบประมาณตอนนี้ก็จะได้ทำเลย่านชานเมือง แต่ถ้าเป็นคอนโดแม้จะได้ห้องเล็กหน่อย แต่ก็จะได้ทำเลกลางเมือง ซึ่งก็พอรับได้ เพราะด้วยไลฟ์สไตล์ที่เดินทางด้วยรถไฟฟ้าบ่อย ซึ่งจากทำเลบ้านที่อยู่ตอนนี้ไม่ได้สะดวกสบายใกล้เส้นทางรถไฟฟ้าขนาดนั้น ยังต้องเดินทางด้วยรถแท็กซี่อีกต่อหนึ่งก่อน จึงทำให้อยากอยู่คอนโดมากขึ้น

“ตัดสินใจที่จะซื้อคอนโดย่านห้วยขวางเป็นเรือนหอ โดยเลือกขนาด 28 ตารางเมตร เพราะคุยกันแล้วว่าเราไม่ได้ต้องการพื้นที่เยอะมากสำหรับการขยับขยายครอบครัว เนื่องจากเราวางแผนที่จะไม่มีลูก”

เรื่องที่จะซื้อคอนโด คุณพ่อคุณแม่ไม่ค่อยสนับสนุนเท่าไหร่ เพราะท่านมีประสบการณ์ไม่ดีกับคอนโดมาก่อน ตอนแรกคุณพ่อคุณแม่ก็จะให้ทาวน์เฮ้าส์บ้านเดิมเป็นเรือนหอ แต่ไปดูแล้ว เราชอบคอนโดในห้วยขวางมากกว่า เพราะใกล้รถไฟฟ้า MRT ห้วยขวาง ส่วนทาวน์เฮ้าส์ที่เป็นบ้านหลังเก่าก็คิดว่าเก็บไว้เป็นสินทรัพย์คุณพ่อต่อไปดีกว่า เพราะศักยภาพก็ค่อนข้างดี ใกล้รถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน สถานีสามแยกไฟฉาย แค่ 1 กิโลเมตร

สำหรับการหาที่อยู่ของตัวเอง จะใช้วิธีหาข้อมูลทั่วไปจากอินเตอร์เน็ต อย่างเช่น เว็บไซต์ DDproperty บ้าง กระทู้รีวิวอื่นๆ บ้าง อ่านดูว่ามีคอนโดที่ไหนบ้างที่น่าสนใจ และตรงกับงบในใจก็คือไม่เกิน 2-3 ล้านบาท หลัก ๆ จะดูว่าใกล้รถไฟฟ้าหรือไม่ ส่วนแปลนห้องได้แฟนที่เป็นสถาปนิกช่วยดู

“สำหรับคอนโดที่ซื้อนี้เพราะเหตุผลหลายอย่างนอกจากทำเลแล้วก็คือ ราคาไม่แพง ปกติทำเลนี้ต้องราคา 5 ล้านบาท แต่เราได้มาในราคา 2.49 ล้านบาท เนื่องจากซื้อในช่วงพรีเซล และได้ส่วนลดจากการจับฉลาก”

ปัจจัยเสริมที่ทำให้ตัดสินใจเลือกคอนโดนี้เป็นเรือนหอ คือ ลองเดินแล้วไม่เปลี่ยว มีร้านสะดวกซื้อ มีร้านอาหาร ฝั่งตรงข้ามก็มีคอนโด แล้วก็เป็นซอยตันด้วย ข้อดีคือคนไม่พลุกพล่าน ค่อนข้างเป็นส่วนตัว แปลนห้องก็ดี ห้องอยู่ในตำแหน่งที่ดีมาก ทิศทางลมดี ซึ่งกว่าคอนโดจะสร้างเสร็จก็ประมาณกรกฎาคม 2564 ถ้าคอนโดสร้างเสร็จ เราก็จะใช้เป็นที่ทำงานด้วยเพราะเราทำฟรีแลนซ์ ส่วนแฟนก็มีงานประจำที่ต้องเข้าออฟฟิศ

“อีกเหตุผลที่ทำให้เลือกสร้างครอบครัวใหม่ที่คอนโดก็เพราะช่วงเรียนมหาวิทยาลัยแล้วไปอยู่หอพัก มีความสุขมาก คือ ห้องเล็ก ๆ เราปิดแค่ประตูก็จบ เรารู้สึกว่าพอดีมากกว่า และด้วยนิสัยส่วนตัวเป็นคนไม่ชอบทำความสะอาดบ้าน ก็เลยรู้สึกว่าถ้าพื้นที่เล็ก ๆ เราจะจัดการกับเรื่องนี้ได้ง่ายกว่า

ไลฟ์สไตล์โดยมากถ้าไม่ทำงานก็ออกมาเดินเล่นในเมือง ก็เลยทำให้โอเคกับการที่มีคอนโดในเมืองด้วย คิดว่าน่าจะทำให้การเดินทางสะดวกขึ้น ซึ่งจริง ๆ แล้วถ้าในอนาคตย้ายมาอยู่คอนโดก็คาดว่าคงไม่ได้เปลี่ยนไลฟ์สไตล์อะไรมากก็ยังคงไปไหนมาไหนเหมือนเดิม ทำงานที่บ้าน ที่ร้านกาแฟเหมือนเดิม

เพียงแต่ว่าก็คงจะได้มีเวลาเจอแฟนมากขึ้น ได้แต่งงานมาอยู่ด้วยกัน เขาทำงานของเสร็จก็กลับมาเจอกันที่บ้าน อีกเรื่องก็คงเป็นเรื่องการทำกับข้าว เพราะปกติก็กินข้าวบ้านตลอดไม่ได้ทำครัวเองเลย อนาคตก็คงต้องคิดเรื่องนี้ด้วย จะทำเมนูอะไร แต่คาดว่าจะซื้ออาหารปรุงสำเร็จมากินมากกว่า

บ้านในฝันสำหรับกิ๊บก็คงเป็นคอนโดนี่แหละ บ้านคงต้องมีทุกอย่าง เราให้ความสำคัญกับห้องน้ำสะอาด ที่ทำงานดี ที่นั่งสบาย แล้วก็มีพื้นที่สำหรับแต่งหน้า และพื้นที่ทำงาน สังเกตว่าเราจะไม่พูดเรื่องครัวเลยเพราะไม่ใช่คนทำอาหาร แต่แฟนเป็นคนทำอาหาร ก็เลยให้แฟนเป็นคนดูเลยว่าครัวแบบไหนที่ชอบ

“ด้วยความที่แฟนเห่อคอนโดใหม่มาก ทั้ง ๆ ที่คอนโดยังเพิ่งเริ่มสร้างด้วยซ้ำ ตอนนี้เหมือนแบ่งงานกันทำคือ เราดูเรื่องงานแต่ง ส่วนแฟนจัดการเรื่องแปลนห้อง เพราะเรามั่นใจรสนิยมเขา ให้เขาเป็นคนตัดสินใจเรื่องนี้ไปเลยจะได้ไม่ต้องมาตีกันด้วย ซึ่งเขานำงานมาให้ดูตลอด ทำกับเราเหมือนเป็นลูกค้าเลย ซึ่งเรามีความสุขมาก”