ตลาดเช่าอสังหาฯ เป็นอีกหนึ่งกลุ่มที่น่าจับตาในช่วงนี้ หลังจากผ่านพ้นช่วงเฝ้าระวังโควิด-19 มาได้ไม่นาน เนื่องจากเป็นกลุ่มที่ส่งผลต่อสถานการณ์อสังหาฯ ในภาพรวม โดยเฉพาะในกลุ่มของนักลงทุน โดยมีที่อยู่อาศัยเป็นจำนวนมากที่กำลังรอปล่อยเช่า ซึ่งต้องยอมรับในช่วงเวลาที่ผ่านมาตลาดนี้ค่อนข้างซบเซา เพราะผู้เช่าได้รับผลกระทบทางเศรษฐกิจโดยตรง แต่เมื่อผ่านพ้นมาถึงช่วงเวลานี้ สถานการณ์ต่าง ๆ เริ่มดีขึ้น สัญญาณตลาดเช่าเริ่มกลับมาคึกคักอีกครั้ง
จากผลสำรวจความคิดเห็นของผู้บริโภคที่มีต่อสภาพตลาดที่อยู่อาศัย Thailand Consumer Sentiment Study รอบล่าสุด ที่สอบถามเกี่ยวกับตลาดเช่าพบข้อมูลที่น่าสนใจเกี่ยวกับความสนใจของผู้เช่า และราคาค่าเช่าที่ผู้เช่าสามารถจ่ายได้ในช่วงนี้
มุมมองของผู้เช่าต่อตลาดเช่าในปัจจุบัน
รูปแบบห้องที่ผู้เช่าให้ความสนใจมากที่สุด พบว่า คนไทยส่วนใหญ่มักจะนิยมเช่าคอนโดและเช่าอพาร์ทเมนต์ รูปแบบ 1 ห้องนอน หรือสตูดิโอมากที่สุด ถึง 40% รองลงมาคือบ้านเดี่ยว 34% และทาวน์โฮม/ทาวน์เฮ้าส์ 26% ตามลำดับ
โดยค่าเช่าที่ผู้เช่าส่วนใหญ่สามารถจ่ายได้นั้น พบว่า ค่าเช่าเฉลี่ยอยู่ที่เดือนละประมาณ 7,000 บาท
นอกจากนี้ คนไทยยังมองหาที่อยู่อาศัยสำหรับเช่า ในทำเลที่ใกล้กับที่ทำงานของตนเอง มากถึง 73% เน้นการเดินทางที่สะดวกสบาย ไม่ต้องเจอรถติดในช่วงเวลาเร่งรีบ รองลงมาคือเรื่องความปลอดภัย 55% และมีปัจจัยที่เอื้อต่อการอยู่อาศัยครบครัน 52%
ส่วนปัจจัยที่ส่งผลต่อการตัดสินใจเช่าอื่น ๆ ได้แก่ ใกล้แหล่งอาหารการกิน, ใกล้ระบบขนส่งสาธารณะ และมีสิ่งอำนวยความสะดวกในพื้นที่ครบครัน เป็นต้น
ดังนั้น โครงการที่อยู่อาศัยที่อยู่ใจกลางเมือง ใกล้เส้นทางรถไฟฟ้าและถนนเส้นหลัก รายล้อมไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกทั้งห้างสรรพสินค้า ตลาด ร้านอาหาร คาเฟ่ รวมถึงสถานที่สำคัญอื่น ๆ อย่างสถานศึกษาและโรงพยาบาล ใกล้แหล่งงาน ซึ่งจำเป็นต่อการใช้ชีวิตและการเดินทาง ก็มีส่วนช่วยให้โครงการที่อยู่ในบริเวณนั้นมีความน่าสนใจ สามารถปล่อยเช่าได้ดีกว่าโครงการที่อยู่ไกลออกไป
นอกจากนี้ ยังสามารถตั้งราคาค่าเช่าได้สูงกว่า สอดคล้องไปกับศักยภาพของทำเล ซึ่งเป็นที่ต้องการของกลุ่มดีมานด์ที่มองว่ามีความคุ้มค่ามากกว่า แม้จะต้องจ่ายราคาที่สูงกว่าบางโครงการที่อยู่โซนรอบนอก แต่ก็แลกมาด้วยความสะดวกสบาย เดินทางรวดเร็ว และได้ซื้อคุณภาพชีวิตที่ดีอีกด้วย
มุมมองของผู้ให้เช่าต่อตลาดเช่าในปัจจุบัน
ด้านเจ้าของที่พักอาศัย ซึ่งเป็นผู้ให้เช่า พบว่า ท่ามกลางสถานการณ์ที่มีความไม่แน่นอนในปัจจุบัน ผู้ให้เช่าในประเทศไทยส่วนใหญ่ถือว่าสัญญาเช่าเป็นสิ่งสำคัญ และไม่ค่อยสนใจปล่อยเช่าที่พักอาศัยให้กับชาวต่างชาติมากนัก และชอบให้จ่ายค่าเช่าด้วยเงินสด
ทั้งนี้ จากข้อมูลข้างต้นก็สมเหตุสมผลกับสถานการณ์ความไม่แน่นอนที่เกิดขึ้น เนื่องจากคนส่วนใหญ่ได้รับผลกระทบทางเศรษฐกิจ ผู้เช่าบางรายถูกให้ออกจากงาน ถูก Leave Without Pay หรือค้าขายได้ลดลง ย่อมส่งผลต่อรายได้อย่างเลี่ยงไม่ได้
ดังนั้น เจ้าของที่พักอาศัยจึงประสบปัญหาผู้เช่าไม่มีเงินจ่ายค่าเช่า มีการร้องขอให้ขยายเวลาการผ่อนชำระไปก่อน ขอยกเลิกสัญญาเช่าก่อนกำหนด รวมถึงหาผู้เช่าได้ยาก ทำให้ผู้ปล่อยเช่าหันมาให้ความสำคัญกับสัญญาเช่ามากขึ้น
นอกจากนี้ยังมีความกังวลเกี่ยวกับผู้เช่าที่เป็นชาวต่างชาติ กลัวว่าอาจจะไม่ปลอดภัยเมื่อคนจากต่างแดนเข้ามาอยู่ในที่พักอาศัยของตนเอง ทำให้ไม่ค่อยปล่อยเช่าให้คนต่างชาติมากนักในช่วงพักหลังมานี้ และอีกความต้องการคืออยากให้ผู้เช่าชำระค่าเช่าด้วยเงินสด เพื่อลดความเสี่ยงต่าง ๆ ที่อาจเกิดขึ้นได้
อย่างไรก็ตาม ตลาดเช่าต่อจากนี้ไป ก็ยังคงต้องติดตามอย่างใกล้ชิด คาดการณ์ว่าจะมีแนวโน้มที่ดีขึ้นเนื่องจากสถานการณ์โรคระบาดเริ่มคลี่คลาย แต่ก็อาจเป็นไปในรูปแบบดีขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป เนื่องจากสถานการณ์ทางเศรษฐกิจยังไม่สู้ดีนัก ทางนักวิเคราะห์จากหลายองค์กรได้คาดคะเนว่าเศรษฐกิจและตลาดอสังหาฯ ไทยจะต้องใช้เวลามากกว่า 1-2 ปี ในปรับตัวเข้าสู่ภาวะปกติ
สนใจรับบทความดีดี อัปเดต ข่าวอสังหาริมทรัพย์ และ อ่านคู่มือซื้อขาย พร้อม รีวิวโครงการคอนโดฯ ใหม่ บ้านใหม่ หลากหลายทำเลและราคา รวมถึง ทำความรู้จักกับทำเลฮอตทั่วกรุง เพื่อเพิ่มความมั่นใจในการซื้อ-ขาย-เช่า
ข้อจำกัดความรับผิดชอบ: ข้อมูลนี้จัดทำขึ้นเพื่อเป็นข้อมูลทั่วไปเท่านั้น DDproperty by PropertyGuru ซึ่งอยู่ภายใต้การดูแลของบริษัท ออลพร็อพเพอร์ตี้ มีเดีย จำกัด ไม่สามารถรับรองหรือรับประกันเกี่ยวกับข้อมูล รวมทั้งไม่สามารถรับรองหรือรับประกันใด ๆ เกี่ยวกับความเหมาะสม สำหรับวัตถุประสงค์เฉพาะใด ๆ ของข้อมูล ตามขอบเขตสูงสุดที่กฎหมายอนุญาต แม้ว่าเราได้พยายามอย่างเต็มที่ เพื่อให้แน่ใจว่าข้อมูลที่ให้ไว้ในบทความนี้ถูกต้อง เชื่อถือได้ และครบถ้วน ณ เวลาที่เขียน แต่ข้อมูลที่ให้ไว้ในบทความนี้ไม่ควรนำไปใช้ในการตัดสินใจทางการเงิน, การลงทุนอสังหาริมทรัพย์ หรือทางกฎหมายทันที ผู้อ่านไม่ควรใช้ข้อมูลในบทความ แทนคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญที่ผ่านการฝึกอบรมซึ่งสามารถพิจารณาข้อเท็จจริงและสถานการณ์ส่วนตัวของคุณได้ ทั้งนี้ เราไม่สามารถรับผิดชอบใด ๆ หากคุณเลือกที่จะนำข้อมูลไปใช้เพื่อประกอบการตัดสินใจ