ซื้อบ้านไม่ได้บ้าน ซื้อคอนโดไม่ยอมสร้าง ผ่อนดาวน์จนหมดแล้วโครงการล่าช้าไม่สามารถเข้าอยู่สักที การก่อสร้างผิดแบบ วัสดุผิดสเปค พอเข้าอยู่ไม่ทันไรบ้านทรุด บ้านร้าว ส่วนกลางเสื่อมโทรมอันตราย และยังมีปัญหาต่าง ๆ อีกมากมาย
ปัญหาเหล่านี้เป็นปัญหาที่ผู้ซื้อมองหาความรับผิดชอบจากเจ้าของโครงการ หรือบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ เมื่อทวงถามไปยังโครงการแล้วไม่มีความคืบหน้า มักจะจบลงที่การประกาศเรื่องราวลงทางอินเตอร์เนต ทั้ง ๆ ที่ความจริงแล้วผู้บริโภคสามารถฟ้องโครงการในฐานะผู้บริโภคหรือผู้เสียหาย ไม่ใช่เรื่องยากและไม่มีค่าใช้จ่ายใด ๆ เมื่อฟ้องเป็นคดีผู้บริโภค

คดีผู้บริโภคคืออะไร และมีจุดประสงค์อย่างไร
คดีผู้บริโภคก็คือคดีแพ่งประเภทหนึ่งที่เกิดขึ้นจากข้อพิพาทระหว่างผู้บริโภคหรือผู้ที่มีอำนาจฟ้องแทนผู้บริโภคกับผู้ประกอบธุรกิจ ในประเด็นที่เกี่ยวเนื่องกับการบริโภคสินค้าหรือบริการ โดยมีจุดประสงค์เพื่อให้ความคุ้มครองผู้บริโภคจากความเสียหายหรือได้รับผลกระทบจากการใช้สินค้าหรือบริการ เป็นการเพิ่มอำนาจการต่อรองกับผู้ประกอบการและป้องกันการถูกเอาเปรียบจากผู้ประกอบการจากการขาดความรู้ความเข้าใจในสินค้า บริการและเทคโนโลยีต่าง ๆ และในอีกด้านหนึ่งก็ส่งเสริมให้ผู้ประกอบการให้ความสำคัญกับการผลิตสินค้าที่มีคุณภาพและการให้บริการที่ดี จึงมีการออกพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค ปี พ.ศ. 2551 ขึ้น
ประเด็นที่เกี่ยวข้องกับอสังหาริมทรัพย์ที่เป็นคดีผู้บริโภค
ตามพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค พ.ศ. 2551 จำแนกประเภทคดีผู้บริโภคออกเป็น 21 ประเภท และมี 4 ประเภทคดีที่เกี่ยวข้องกับอสังหาริมทรัพย์ ได้แก่
1. คดีผู้บริโภคเกี่ยวข้องกับการซื้อขายบ้าน อาคารพาณิชย์ อาคารชุด ที่ดินเปล่า
2. คดีผู้บริโภคเกี่ยวกับการเช่าทรัพย์ ได้แก่ บ้าน อาคารชุด หอพัก สำนักงาน
3. คดีผู้บริโภคเกี่ยวข้องกับนิติบุคคลอาคารชุด
4. คดีผู้บริโภคเกี่ยวข้องกับนิติบุคคลหมู่บ้านจัดสรร
2. คดีผู้บริโภคเกี่ยวกับการเช่าทรัพย์ ได้แก่ บ้าน อาคารชุด หอพัก สำนักงาน
3. คดีผู้บริโภคเกี่ยวข้องกับนิติบุคคลอาคารชุด
4. คดีผู้บริโภคเกี่ยวข้องกับนิติบุคคลหมู่บ้านจัดสรร
ผู้มีสิทธิฟ้องร้องคดีผู้บริโภคคือใคร
1. ผู้บริโภค คือผู้ซื้อหรือผู้รับบริการจากผู้ประกอบธุรกิจ รวมไปถึงผู้เช่าซื้อหรือได้มาโดยเสียค่าตอบแทน และมีความหมายรวมไปถึงผู้เสียหาย ผู้ใช้สินค้าหรือบริการจากผู้ประกอบธุรกิจโดยที่ไม่ใช่ผู้เสียค่าตอบแทน
2. ผู้ประกอบธุรกิจ คือผู้ขาย ผู้ผลิตเพื่อขาย ผู้สั่งหรือนำเข้า ผู้ซื้อเพื่อขายต่อสินค้า ผู้ให้บริการ และผู้ประกอบกิจการโฆษณา
3. ผู้มีอำนาจฟ้องร้องแทนผู้บริโภค ได้แก่ คณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค สมาคมที่คณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภครับรองตาม พรบ. คุ้มครองผู้บริโภคฯ
ฟ้องร้องคดีผู้บริโภคได้อย่างไร
ผู้ฟ้องหรือโจทย์สามารถยื่นฟ้องคดีผู้บริโภคได้โดยการทำเป็นหนังสือ หรือจะยื่นฟ้องโดยวาจาด้วยตนเองก็ได้ไม่จำเป็นต้องมีทนาย สำหรับการฟ้องโดยวาจานั้นจะมีเจ้าพนักงานคดีเป็นผู้ทำบันทึกรายละเอียดของคำฟ้องแล้วให้โจทย์ลงลายมือชื่อรับรอง พร้อมกันนี้ให้โจทย์เสนอพยานหลักฐานที่เกี่ยวข้องแนบมาพร้อมกับคำฟ้อง เช่น หนังสือรับรองบริษัท เอกสารเกี่ยวกับสัญญา ใบเสร็จ หรือเอกสารอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง
ผู้ฟ้องหรือโจทย์สามารถยื่นฟ้องคดีผู้บริโภคได้โดยการทำเป็นหนังสือ หรือจะยื่นฟ้องโดยวาจาด้วยตนเองก็ได้ไม่จำเป็นต้องมีทนาย สำหรับการฟ้องโดยวาจานั้นจะมีเจ้าพนักงานคดีเป็นผู้ทำบันทึกรายละเอียดของคำฟ้องแล้วให้โจทย์ลงลายมือชื่อรับรอง พร้อมกันนี้ให้โจทย์เสนอพยานหลักฐานที่เกี่ยวข้องแนบมาพร้อมกับคำฟ้อง เช่น หนังสือรับรองบริษัท เอกสารเกี่ยวกับสัญญา ใบเสร็จ หรือเอกสารอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง
การฟ้องคดีผู้บริโภคต้องใช้เอกสารอะไรบ้าง
ในการยื่นฟ้องนั้นเอกสารที่โจทย์ต้องเตรียมมาให้เจ้าพนักงานงานคดี นอกจากคำฟ้องและหลักฐานแล้วคือ เอกสารประกอบคำฟ้อง ได้แก่ สำเนาทะเบียนบ้าน สำเนาบัตรประจำตัวประชาชน และใบสำคัญการเปลี่ยนชื่อตัว-ชื่อสกุล (หากมีการเปลี่ยนชื่อ นามสกุล)
การฟ้องร้องคดีผู้บริโภคมีค่าธรรมเนียมเท่าไร
ผู้บริโภคหรือผู้มีอำนาจแทนผู้บริโภคที่เป็นโจทย์ฟ้องผู้ประกอบการจะได้รับการยกเว้นค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสิ้น ยกเว้นการนำคดีมาฟ้องโดยไม่มีเหตุอันควร หรือการเรียกค่าเสียหายมากเกินควร หรือมีพฤติการณ์ที่ศาลเห็นควรเรียกเก็บค่าฤชาธรรมเนียมทั้งที่เป็นการเรียกเก็บทั้งหมด หรือเพียงแค่บางส่วนเท่านั้น
ฟ้องร้องคดีผู้บริโภคได้ที่ไหน
ผู้บริโภคหรือผู้เสียหายสามารถยื่นฟ้องต่อแผนกคดีผู้บริโภค ณ ศาลที่ตนมีภูมิลำเนาอยู่ในเขตศาลหรือศาลอื่น ๆ นอกเขตก็ได้ หากความเสียหายไม่เกิน 300,000 บาทให้ยื่นฟ้องต่อศาลแขวง และหากความเสียหายเกิน 300,000 บาทให้ยื่นฟ้องต่อศาลจังหวัด หรือศาลแพ่งในกรุงเทพฯ
การฟ้องร้องคดีผู้บริโภคมีอายุความนานแค่ไหน
สำหรับคดีที่ผู้บริโภคได้รับความเสียหายต่อชีวิต ร่างกาย สุขภาพ ผู้บริโภคหรือผู้มีอำนาจฟ้องแทนต้องใช้สิทธิเรียกร้องภายใน 3 ปีแต่ไม่เกิน 10 ปีนับตั้งแต่วันที่รับรู้ความเสียหาย และรู้ตัวผู้ประกอบธุรกิจที่ต้องรับผิด แต่กรณีที่เป็นค่าเสียหายทั่วไปเนื่องมาจากสินค้าไม่ปลอดภัยจะต้องดำเนินการภายใน 3 ปีตั้งแต่ที่รับรู้ความเสียหาย หรือภายใน 10 ปีตั้งแต่วันที่ซื้อสินค้าหรือใช้บริการ
การพิจารณาคดีผู้บริโภคเป็นอย่างไร
คดีผู้บริโภคนั้นมีการดำเนินการที่ค่อนข้างเร็วและกระชับ หลังจากที่ศาลรับคำฟ้องแล้วก็จะนัดวันพิจารณาคดี ออกหมายเรียกให้จำเลยมาให้การต่อศาล เพื่อสืบพยานและไกล่เกลี่ยในวันเดียวกัน โดยมีระบบการพิจารณาคดีที่อำนวยความสะดวกต่อผู้บริโภคซึ่งเป็นผู้ฟ้องโดยให้เป็นหน้าที่ของผู้ประกอบธุรกิจที่จะต้องพิสูจน์ว่าไม่ได้กระทำผิดตามข้อกล่าวหา นอกจากนี้ระหว่างการดำเนินคดีจะมีการให้ความคุ้มครองชั่วคราวก่อนมีคำพิพากษา และหากต้องการยื่นอุทธรณ์ก็สามารถทำได้ภายใน 1 เดือนนับแต่มีคำพิพากษาของศาลชั้นต้น และหากมูลค่าความเสียหายเกินกว่า 200,000 บาทก็สามารถยื่นฎีกาต่อไปได้
เมื่อฟ้องร้องคดีผู้บริโภคแล้วศาลสามารถบังคับให้ผู้ประกอบการดำเนินอย่างไรได้บ้าง
สำหรับประเด็นข้อพิพาทด้านอสังหาริมทรัพย์นั้น ศาลแผนกคดีผู้บริโภคสามารถสั่งให้ผู้ประกอบการ เปลี่ยนสินค้าใหม่ แทนการซ่อมแซมแก้ไข การเรียกคืนสินค้าจากผู้ซื้อ รวมไปถึงการหยุดขายสินค้า รวมไปถึงการจ่ายค่าเสียหายเพิ่มมากกว่าที่ผู้บริโภคเรียกร้องไป ซึ่งหากผู้ประกอบการไม่ทำตามคำสั่งศาลอาจต้องโทษจับกุมและกักขังได้
จากเนื้อหาที่เรานำมาเสนอในครั้งนี้จะเห็นถึงความพยายามของหน่วยงานยุติธรรมที่พยายามเสริมสร้างอำนาจต่อรองให้แก่ผู้บริโภค ป้องกันการเอาเปรียบจากผู้ประกอบการ และส่งเสริมให้เกิดการผลิตสินค้าและบริการที่มีคุณภาพต่อไป
รายการอ้างอิง:
Picture Reference: www.middleeastmonitor.com
เรื่องข้างต้นนี้เขียนโดย เชษฐพล มานิตย์ Online Writer ประจำ DDproperty.com หากมีคำถามเพิ่มเติมสามารถติดต่อได้ที่ kittikom@ddproperty.com
สนใจรับบทความดีดี อัปเดต ข่าวอสังหาริมทรัพย์ และ อ่านคู่มือซื้อขาย พร้อม รีวิวโครงการคอนโดฯ ใหม่ บ้านใหม่ หลากหลายทำเลและราคา รวมถึง ทำความรู้จักกับทำเลฮอตทั่วกรุง เพื่อเพิ่มความมั่นใจในการซื้อ-ขาย-เช่า