เมื่อว่าด้วยเรื่องการทาสีแล้ว เป็นเรื่องที่ต้องยกให้มืออาชีพอย่าง ช่างทาสี โดยเฉพาะ เพราะการทาสีบ้านถือเป็นงานละเอียดที่ผสมผสานทั้งการตกแต่งเพื่อความสวยงาม รวมทั้งความคงทนที่ทำให้สีติดอยู่นาน ไม่ทำให้บ้านเกิดรอยไม่พึงประสงค์ การทาสีบ้านจึงไม่ใช่เรื่องของการจ่ายเงินหาช่างมาทำให้เท่านั้น แต่รวมไปถึงการรู้จักและเข้าใจงานทาสีขั้นพื้นฐาน ตลอดจนวิธีเลือกช่างทาสีที่ทำงานตอบโจทย์ได้เป็นอย่างดี
หากคุณมีแผนจะตกแต่งบ้านแล้วนั้น ลองมาศึกษาทุกเรื่องของการทาสีบ้าน รวมทั้งเทคนิคเลือกช่างทาสีที่นำมาฝากกัน เพื่อให้ได้ช่างทาสีที่ตรงใจคนจ้างและตอบโจทย์งานอย่างแท้จริง
ก่อนจ้างช่างทาสี มีเรื่องอะไรต้องดูบ้าง
ไม่ว่าคุณจะทาสีเองหรือคิดจ้างช่างทาสี ก็ต้องทำความเข้าใจเรื่องพื้นฐานของการทาสีบ้าน โดยทั่วไปแล้ว เจ้าของบ้านควรพิจารณาปัจจัยหลักก่อนเริ่มทาสีบ้าน 3 อย่าง ได้แก่ ขนาดพื้นที่ทั้งหมด พื้นที่ที่จะทาสี และความแตกต่างระหว่างภายในและภายนอกบ้าน ซึ่งมีรายละเอียดที่ต้องพิจารณา ดังนี้
1. ขนาดพื้นที่ทั้งหมด
ขนาดพื้นที่ของบ้าน ถือเป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญอันส่งผลต่อการทาสีบ้านก็ว่าได้ เพราะจะช่วยให้เราประเมินได้เบื้องต้นว่าจะตัดสินใจทาสีบ้านเองหรือจำเป็นต้องจ้างช่างทาสีมืออาชีพมารับผิดชอบ หากคุณตั้งใจจะทาสีเอง ก็ต้องคิดต่อไปว่าเราจะทาสีบ้านตรงบริเวณไหนเองบ้าง จำกัดเฉพาะห้องหรือจะทาเองทั้งหมด
ทั้งหมดนี้จะช่วยให้จัดเตรียมภาระงานทุกอย่าง ตั้งแต่วางเลย์เอาต์ เลือกสีที่ทา ตลอดจนการเคลือบสีเพื่อความคงทน ซึ่งนำไปสู่การประเมินค่าใช้จ่ายและความคุ้มค่าระหว่างลงมือทำเองหรือจ้างช่างทาสีมาช่วย
2. พื้นที่ที่จะทาสี
หัวใจสำคัญในการทาสีบ้านคือเตรียมพื้นผิวของบริเวณที่จะทาให้เรียบเนียน เพราะจะช่วยลดการเตรียมงานได้มากพอสมควร โดยงานเตรียมพื้นผิวก่อนลงสีก็มีขั้นตอนซับซ้อนไม่น้อย โดยเฉพาะบ้านที่มีอายุการใช้งานมานานหลายปี
หากคุณจำเป็นต้องทาสีบ้านที่มีผนังกำแพงลอกหรือหลุดล่อน อาจต้องใช้เวลาเตรียมงานมากกว่าเดิม นี่จึงเป็นเหตุผลที่คุณควรพิจารณาและกำหนดขอบเขตของพื้นที่ที่จะทาสีให้ชัดเจน เพื่อคำนวณระยะเวลาการเตรียมงานก่อนทาสี รวมทั้งดูว่ามีเครื่องมือที่ช่วยเตรียมพื้นผิวพร้อมหรือไม่ หากไม่สะดวกทำเองได้ทั้งหมด การจ้างช่างทาสีน่าจะตอบโจทย์และทุ่นเวลาได้ดีกว่า
3. ความแตกต่างระหว่างภายในและภายนอกบ้าน
องค์ประกอบสุดท้ายที่ต้องพิจารณาเมื่อจะเริ่มทาสีบ้าน ก็คือดูว่างานทาสีนั้นเป็นงานตกแต่งภายในหรือภายนอก หากว่ากันตามตรงแล้ว การตกแต่งภายนอกเป็นงานที่มีขั้นตอนซับซ้อนมากกว่า เพราะต้องคำนึงถึงปัจจัยอื่นควบคู่กันไปด้วย ไม่ว่าจะเเป็นแสง สภาพแวดล้อม อุณหภูมิ และอากาศ ซึ่งส่งผลกระทบต่อความเปลี่ยนแปลงของสีและสภาพผนังได้
ในขณะที่การตกแต่งภายในจะมีเงื่อนไขหรือข้อจำกัดน้อยกว่า ถ้างานทาสีภายนอกเป็นการทาสีเฉพาะประตูบ้านหรือรั้ว คุณอาจลงมือทำได้เอง แต่หากเป็นงานที่มีสเกลใหญ่ขึ้น ควรจ้างช่างทาสีมืออาชีพมาช่วย
ทำไมต้องทาสีบ้าน
จริง ๆ แล้ว งานทาสีบ้านดูเป็นเรื่องที่จำเป็นและไม่จำเป็นตามแต่มุมมองของแต่ละคน เพราะหลายคนเห็นว่าเป็นงานตกแต่ง จึงอาจไม่ได้ให้ความสำคัญเป็นงานหลัก ทั้งที่จริงแล้ว การทาสีบ้านถือเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับบ้าน มาดูกันว่ากรณีไหนบ้างที่ควรจะพิจารณาทาสีบ้านใหม่ได้แล้ว
1. เสริมการออกแบบบ้านทั้งหมด
เพราะทุกคนต่างต้องการให้บ้านออกมาดูดีด้วยกันทั้งนั้น วิธีที่จะทำให้บ้านสวยดูดียาวนานก็คือรักษาสภาพแวดล้อมทั้งภายในและภายนอก งานทาสีตกแต่งภายนอกจึงถือเป็นงานสำคัญที่ช่วยเติมเต็มในส่วนนี้ ทั้งในแง่ของการแต่งแต้มความสวยงามด้านแสงและภาพรวมทั้งหมดอย่างเหมาะสม นอกจากนี้ การทาสีบ้านยังช่วยเพิ่มคุณค่าบ้านของเราให้น่าอยู่ยิ่งขึ้น เพราะการทาสีบ้านถือเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ช่วยชุบชีวิตบ้านให้ดูสวยสดและใหม่อยู่เสมอ
2. ถนอมสภาพบ้าน
งานทาสีบ้านที่ดีต้องมีมากกว่าทำเพื่อความสวยงาม แต่ยังช่วยเสริมการถนอมรักษาสภาพของตัวบ้านให้คงทน ไม่ผุพังหรือสึกกร่อนไปตามกาลเวลา สภาพอากาศ แมลง และฝุ่น รวมทั้งป้องกันวัสดุหรือพื้นผิวจากไม้ไม่ให้ผุกร่อน เรียกได้ว่าช่วยยืดอายุการใช้งานให้นานขึ้น และลดค่าใช้จ่ายได้ในอนาคต
3. ซ่อมแซมส่วนที่ผุพัง
เมื่อเริ่มต้นวางแผนทาสีบ้าน แน่นอนว่าจำเป็นต้องตรวจสอบสภาพแวดล้อมของบ้านว่าเป็นอย่างไร มีจุดไหนที่ต้องได้รับการซ่อมแซมเพิ่มเติมหรือไม่ อาจกล่าวได้ว่างานทาสีบ้านช่วยให้เราได้มีโอกาสกลับมาทบทวนและตรวจดูพื้นที่บ้านว่ามีจุดเสียหายอะไรบ้างก็ว่าได้
เลือกช่างทาสีอย่างไร มีขั้นตอนอะไรบ้าง
อย่างที่บอกไปว่า การจ้างช่างทาสีเป็นมากกว่าการจ่ายเงินจ้างคนมาทำงานเท่านั้น แต่เป็นอีกขั้นตอนสำคัญของการรับผิดชอบงานทาสีบ้าน เมื่อตัดสินใจจ้างช่างทาสีแล้ว จึงควรเลือกสรรช่างที่คุยรายละเอียดได้เข้าใจตรงกัน รวมทั้งรับผิดชอบงานตามที่เราต้องการได้จนเสร็จสิ้น การจ้างช่างทาสีจึงมีขั้นตอน ดังนี้
1. ประเมินความสามารถของช่างทาสี
ก่อนจ้างช่างคนใดก็ตาม คุณควรติดต่อสอบถามหรือพูดคุยเรื่องการว่าจ้างทั่วไปก่อน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องค่าแรง วัสดุหรืออุปกรณ์ที่ต้องใช้ในการรับงาน สีที่ใช้ และระยะเวลาในการรับผิดชอบงานตั้งแต่ต้นจนจบ เพื่อให้ทราบข้อมูลการทำงานเบื้องต้นอย่างครอบคลุม เข้าใจตรงกัน และไม่เกิดปัญหาตามมาภายหลัง ทั้งนี้ ควรสอบถามเรื่องค่าใช้จ่ายการเดินทางด้วย
2. ตรวจสอบคุณสมบัติ
เมื่อคุณมองหาช่างทาสีสักคนแล้วนั้น สิ่งสำคัญที่ลืมไม่ได้ก่อนว่าจ้างก็คือตรวจสอบประวัติและคุณสมบัติในการทำงานของช่างคนนั้น โดยคุณอาจสอบถามหรือขออนุญาตดูผลงานเก่า ๆ หรือจ้างช่างทาสีจากแหล่งที่ไว้ใจได้
ทั้งนี้ ควรสอบถามเกี่ยวกับการประกันคุณภาพงานว่ามีการมีชดเชยอย่างไรกรณีที่ข้าวของเกิดความเสียหายจากการทำงานหรือพนักงานได้รับบาดเจ็บจากการทำงาน ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นเรื่องที่ต้องคำนึงถึงเมื่อคิดจะจ้างช่างทาสีมาทำงาน
3. ลงรายละเอียดงาน
เพราะการจ้างช่างทาสีเป็นหนึ่งในขั้นตอนของการทาสีบ้าน แม้คุณจะเป็นผู้ว่าจ้าง แต่ก็ต้องทำความรู้จักและเข้าใจขอบเขตทั้งหมดอย่างชัดเจน โดยต้องเตรียมวางแผนภาระงานเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่เกี่ยวเนื่องกับการทาสีบ้าน ไม่ว่าจะเป็นการเคลื่อนย้ายเฟอร์นิเจอร์ภายในบ้าน หาที่รับรองข้าวของเครื่องใช้ชั่วคราวในขณะที่ยังทาสีไม่เสร็จ หรือแม้แต่การถอดหรือเก็บอุปกรณ์ต่าง ๆ ให้อยู่ที่ปลอดภัย
4. ทำเรื่องเบิกค่าใช้จ่าย
สิ่งสุดท้ายของการว่าจ้างช่างทาสีก็คือทำเอกสารเบิกค่าใช้จ่ายต่าง ๆ เพื่อป้องกันค่าใช้จ่ายบานปลายจากที่ตกลงคุยกันไว้ เพราะเอกสารจะช่วยระบุและบันทึกรายละเอียดทุกอย่างไว้เป็นลายลักษณ์อักษร ก่อนเริ่มงานคุณจึงควรทำเอกสารสัญญาการว่าจ้างส่งให้ทางผู้รับจ้างตรวจสอบและตกลงยินยอม ควรจ่ายมัดจำก่อนหรือไม่ ระยะเวลาการเบิกจ่ายนานเท่าไหร่
เว็บไซต์และแอปพลิเคชันค้นหาช่างทาสี
1. 24 Fix
บริการของ 24 Fix จะเน้นไปที่การดูแลบ้านในงานช่างต่าง ๆ เช่น ช่างไฟฟ้า ช่างซ่อมแอร์ ช่างประปา รวมไปทั้งเกี่ยวกับโครงสร้างของบ้าน เช่น งานต่อเติม งานพื้น เพดาน และช่างทาสี หรืองานซ่อมทั่วไป โดยค่าบริการเริ่มต้นที่ประมาณ 700 บาท
2. Fixzy
บริการเกี่ยวกับบ้านครบวงจร โดยผู้ให้บริการมืออาชีพ ที่เดียวครบจัดการได้ทุกปัญหาเรื่องบ้าน ได้แก่ ช่างทาสี ช่างไฟฟ้า ช่างระบบน้ำ ช่างซ่อมเครื่องใช้ไฟฟ้า งานบริการและซ่อมบำรุงต่าง ๆ งานด้านโครงสร้าง ปรับปรุง ต่อเติมอุปกรณ์ต่าง ๆ ในบ้าน และงานเบ็ดเตล็ดอื่น ๆ อย่างการดูแลสวนหย่อม
3. NocNoc
ตัวกลางเชื่อมต่อระหว่างผู้ผลิต ร้านค้า ผู้ให้บริการ และเจ้าของบ้าน โดย NocNoc จะไม่ได้เป็นบริการซ่อมหรือดูแลบ้านโดยตรง แต่เป็นศูนย์กลางสำหรับจำหน่ายวัสดุก่อนสร้างและเฟอร์นิเจอร์เครื่องใช้ต่าง ๆ ที่ผู้ใช้สามารถสามารถนัดหมายกับช่างได้ในตัว เพื่อติดตั้งสินค้าต่าง ๆ เช่น ติดตั้งตู้เย็น ปูกระเบื้อง ทาสี หรือทำความสะอาด
การดูแลบ้านหลังทาสี
อีกหนึ่งขั้นตอนสำคัญที่ช่วยให้งานทาสีบ้านออกมาสมบูรณ์แบบนั้นคงหนีไม่พ้นเรื่องดูแลรักษาพื้นผิว เพื่อให้สีติดคงทนนาน ไม่สึกกร่อนตามกาลเวลา โดยเราได้รวบรวมวิธีดูแลสีตามผนังบ้านแบ่งออกเป็นการดูแลสีทาภายในบ้านและการดูแลสีทาภายนอกบ้าน ดังนี้
1. การดูแลสีทาภายในบ้าน
– เลือกใช้ผ้าม่านกันแสง วิธีนี้จะช่วยป้องกันแสงแดดจากภายนอกไม่ให้ส่องเข้ามามากเกินไป ช่วยให้สีที่ทาภายในยังดูสด ใหม่ ไม่ถูกแดดกลืนจนสีซีดไปตามกาลเวลา
– ทำความสะอาดสม่ำเสมอ ไม่ควรปล่อยให้ผนังเกิดคราบจนกลายเป็นรอยด่างดำ โดยอาจใช้ฟองน้ำชุบน้ำสบู่หมาด ๆ มาเช็ดบริเวณคราบเลอะหรือร่องรอยตำหนิบนผนังออกให้หมดจด
– เลือกใช้สีทาบ้านคุณภาพ โดยเลือกใช้สีที่คุณสมบัติป้องกันเชื้อรา เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเชื้อราตามผนัง โดยเฉพาะห้องน้ำที่เกิดเชื้อราได้ง่าย
2. การดูแลสีทาภายนอกบ้าน
– ฉีดน้ำทำความสะอาด วิธีนี้จะช่วยกำจัดคราบฝุ่นและสิ่งสกปรกไม่ให้เกาะตามผนังนอกบ้าน ทำให้บ้านของคุณไม่ดูเก่าและโทรม หากคุณเพิ่งเริ่มทาสีบ้าน ควรทำความสะอาดด้วยการฉีดน้ำแรงดันสูงหลังจากผ่านไปแล้วประมาณ 5-6 ปี ส่วนระเบียงหรือเฉลียงอาจทำความสะอาดปีละครั้ง
– เคลือบสีทาบ้าน เพื่อป้องกันไม้ผุกร่อนตามกาลเวลา
– ทาสีซ้ำ ควรทาสีซ้ำสองครั้งสำหรับพื้นผิวที่เป็นไม้ ส่วนพื้นผิวทั่วไปให้ทาสีซ้ำทุก ๆ 6-10 ปี เพื่อให้สีดูสดใหม่อยู่เสมอ
สนใจรับบทความดีดี อัปเดต ข่าวอสังหาริมทรัพย์ และ อ่านคู่มือซื้อขาย พร้อม รีวิวโครงการคอนโดฯ ใหม่ บ้านใหม่ หลากหลายทำเลและราคา รวมถึง ทำความรู้จักกับทำเลฮอตทั่วกรุง เพื่อเพิ่มความมั่นใจในการซื้อ-ขาย-เช่า
ข้อจำกัดความรับผิดชอบ: ข้อมูลนี้จัดทำขึ้นเพื่อเป็นข้อมูลทั่วไปเท่านั้น DDproperty by PropertyGuru ซึ่งอยู่ภายใต้การดูแลของบริษัท ออลพร็อพเพอร์ตี้ มีเดีย จำกัด ไม่สามารถรับรองหรือรับประกันเกี่ยวกับข้อมูล รวมทั้งไม่สามารถรับรองหรือรับประกันใด ๆ เกี่ยวกับความเหมาะสม สำหรับวัตถุประสงค์เฉพาะใด ๆ ของข้อมูล ตามขอบเขตสูงสุดที่กฎหมายอนุญาต แม้ว่าเราได้พยายามอย่างเต็มที่ เพื่อให้แน่ใจว่าข้อมูลที่ให้ไว้ในบทความนี้ถูกต้อง เชื่อถือได้ และครบถ้วน ณ เวลาที่เขียน แต่ข้อมูลที่ให้ไว้ในบทความนี้ไม่ควรนำไปใช้ในการตัดสินใจทางการเงิน, การลงทุนอสังหาริมทรัพย์ หรือทางกฎหมายทันที ผู้อ่านไม่ควรใช้ข้อมูลในบทความ แทนคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญที่ผ่านการฝึกอบรมซึ่งสามารถพิจารณาข้อเท็จจริงและสถานการณ์ส่วนตัวของคุณได้ ทั้งนี้ เราไม่สามารถรับผิดชอบใด ๆ หากคุณเลือกที่จะนำข้อมูลไปใช้เพื่อประกอบการตัดสินใจ