3 เรื่องเข้าใจผิดของคนบ้างาน สุขภาพเสียก่อนรวย

DDproperty Editorial Team
3 เรื่องเข้าใจผิดของคนบ้างาน สุขภาพเสียก่อนรวย
การทำงานหนัก คำ ๆ นี้อาจตีความหมายได้ทั้งความหมายดี คือเป็นคนตั้งใจทำอย่างเต็มที่กับงานที่ได้รับ แต่หากเป็นความหมายไม่ดี อาจแปลว่าทำงานมากจนไม่สนใจเรื่องอื่น ๆ หรือที่คนส่วนใหญ่นิยามว่า “บ้างาน” (Workaholic) ซึ่งมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ อาจเป็นผลจากปัญหาเศรษฐกิจที่ทำให้แต่ละธุรกิจมีการแข่งขันสูง ตัวเลขเด็กจบใหม่ทยอยเข้ามาในตลาดมากขึ้น
คนบ้างานข้อดีคือ มุ่งมั่นกับการทำงาน ชอบการแข่งขัน ทะเยอทะยาน แต่อาจมีข้อเสียตามมาคือ ความเครียดสะสมที่นำไปสู่ปัญหาสุขภาพ การแบ่งเวลาที่กระทบต่อความสัมพันธ์กับคนรอบข้าง รวมไปถึงปัญหาสุขภาพทางการเงิน ปัญหาเหล่านี้เป็นผลพวงมาจากวิธีคิดของคนบ้างานในหลาย ๆ ด้าน วันนี้ K-Expert จึงอยากจะมาบอก 3 ความเข้าใจผิดของคนบ้างานที่อาจส่งผลเสียตามมาในระยาว

1. “รวยก่อน แล้วค่อยดูแลสุขภาพ”

คนบ้างาน มักจะละเลยการดูแลสุขภาพทั้งเรื่องของการพักผ่อน การออกกำลังกาย อาหารการกิน และความเครียดสะสม ปัญหาเหล่านี้ส่งผลให้เกิดโรคร้ายแรงขึ้น ตัวอย่างเช่น โรคมะเร็งสมอง หากเกิดเจ็บป่วย ค่าใช้จ่ายอยู่ที่ประมาณ 164,800 บาท (ที่มา: โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์) หรือ โรคหัวใจ หากต้องขยายหลอดเลือดแดงด้วยบอลลูนที่ข้อมือ ค่าใช้จ่ายจะอยู่ที่ประมาณ 185,000 บาท (ที่มา โรงพยาบาลหัวใจกรุงเทพ) ซึ่งค่าใช้จ่ายเหล่านี้ยังไม่รวมค่าใช้จ่ายอื่น ๆ เช่น อุปกรณ์พิเศษ ค่าปรึกษาทางการแพทย์ และยังไม่การันตีว่าจะรักษาหาย 1 ครั้งทันที นั่นแปลว่าเงินที่ทำงานมาอย่างหนัก สุดท้ายแทนที่จะเก็บไว้ใช้ในบั้นปลายชีวิต กลับต้องมาจ่ายเพื่อรักษาตนเองแทน
เพื่อป้องกันไม่ให้เงินที่หามาได้อย่างยากลำบากต้องหมดไปกับค่ารักษาพยาบาล สามารถซื้อประกันสุขภาพ เพื่อสร้างความคุ้มครองเกี่ยวกับค่าใช้จ่ายเหล่านี้ได้ ก็เหมือนกับการซื้อประกันรถยนต์ ตัวอย่างเช่น สัญญาเพิ่มเติมการประกันภัยสุขภาพแบบอีลิท เฮลท์ พลัส ของกสิกร เป็นต้น

2. “เงินใช้ไปแล้ว เดี๋ยวหาใหม่ได้”

Consumer Behavior
คนส่วนใหญ่มักมองประโยชน์เฉพาะหน้า มากกว่าที่จะมองประโยชน์ในระยะยาว เหมือนกับการออมเงินเพื่อเก็บไว้ใช้ในวัยเกษียณอย่างมีความสุข เทียบกับการซื้อโทรศัพท์เครื่องใหม่ คนส่วนใหญ่มักเลือกการซื้อโทรศัพท์ก่อนการออมเงิน เพราะเมื่อซื้อแล้วได้ใช้ในทันที เป็นการสู้กันระหว่าง เหตุผลและอารมณ์
แม้ฝั่งเหตุผลจะรู้ประโยชน์จากการออมที่ชัดเจนแค่ไหน แต่บางคนก็ต้องแพ้ให้กับฝั่งอารมณ์ที่มีอิทธิพลเหนือกว่า กว่าจะรู้ตัวอีกทีว่าต้องออมก็เป็นเวลาที่ใกล้เกษียณ ทำให้หลายๆ คนเก็บเงินกันไม่ทันแล้ว หรือบางทีเกิดเหตุไม่คาดคิด ซึ่งตัวอย่างที่เห็นได้ล่าสุดคือ สถานการณ์โควิด-19 ที่ทำให้ใครหลาย ๆ คนได้รับผลกระทบจากการที่ธุรกิจส่วนตัวหรือธุรกิจของนายจ้างต้องหยุดดำเนินการชั่วคราว ทำให้รายรับที่เคยได้น้อยลงหรือบางคนไม่ได้เลย คนที่มีเงินเก็บอยู่บ้างก็พอจะประคองตัวไปได้ แต่ถ้าใครเคยใช้แบบเดือนชนเดือน แบบนี้ได้รับผลกระทบแน่นอน และถ้าสถานการณ์นี้ยืดเยื้อออกไป ยิ่งทำให้ปัญหาทางการเงินเพิ่มมากขึ้นแน่นอน
กลับมาที่เรื่องเกษียณหากดูที่ค่าใช้จ่ายในปัจจุบันสำหรับครัวเรือนต่างๆ ของคนกรุงเทพฯ และภาพรวมทั่วประเทศ
กรุงเทพ
34,127 บาท
10,238,232 บาท
71,455 บาท
21,436,584 บาท*
ทั่วประเทศ
21,346 บาท
6,403,800 บาท
44,694 บาท
13,408,135 บาท*
* หลังเกษียณมีการลงทุนเพื่อให้ได้อัตราผลตอบแทนเท่ากับเงินเฟ้อ
พบว่าถ้าเกษียณตอนอายุ 60 ปี และมีอายุจนถึง 85 ปี คนกรุงเทพฯจะต้องมีเงินก้อนตอนอายุ 60 ปี เพื่อรองรับชีวิตหลังเกษียณอยู่ที่ 10,238,232 บาท และถ้าเป็นจังหวัดอื่น ๆ โดยเฉลี่ยอยู่ที่ 6,403,800 บาท ณ ตอนอายุ 60 ปี คำถาม คือ ปัจจุบันมีแผนสำหรับเตรียมเงินก้อนนี้ไว้แล้วหรือยัง
นอกจากนี้ในความเป็นจริงค่าใช้จ่ายมีการเพิ่มขึ้นทุกปี เช่น ก๋วยเตี๋ยวชามละ 25 บาท เมื่อ 10 ปีที่แล้วตอนนี้กลายเป็นชามละ 35-50 บาท หรือที่คนส่วนใหญ่มักได้ยินกันในคำว่าเงินเฟ้อ นั่นแปลว่าคนทำงานต้องเก็บเงินมากขึ้น เช่น เงินเฟ้อ 3% ต่อปี หากปัจจุบันอายุ 35 ปี หรือเกษียณในอีก 25 ปีข้างหน้า ค่าใช้จ่ายต่อเดือนของครัวเรือนเมื่อรวมเงินเฟ้อเข้าไปด้วยสำหรับคนกรุงเทพฯ จะอยู่ที่ 71,455 บาทต่อเดือน และจังหวัดอื่น ๆ โดยเฉลี่ย 44,694 บาทต่อเดือน หมายความว่าเงินที่ต้องมีตอนอายุ 60 ปี เพื่อใช้สำหรับเกษียณจะเพิ่มขึ้นเป็น 21,436,584 บาท และ 13,408,135 บาท ตามลำดับ ดังนั้นหากไม่เริ่มเก็บตอนนี้ไปเริ่มตอนใกล้เกษียณก็อาจสายเกินไป

3. “มีเงินแล้ว ค่อยวางแผนการเงิน”

Money Planning
หากรอให้เริ่มมีเงินแล้วจึงเริ่มเก็บ จากตัวอย่างของคนกรุงเทพฯ อายุ 35 ปี ต้องเก็บเงินหยอดกระปุกถึง 71,455 ต่อเดือน หรือสำหรับจังหวัดอื่น ๆ ต้องเก็บเดือนละ 44,694 บาทต่อเดือน ซึ่งเป็นจำนวนเงินที่ไม่น้อยเลย
กรุงเทพ
71,455บาท
48,063 บาท
35,997 บาท
16,156 บาท
ทั่วประเทศ
44,694 บาท
30,062 บาท
22,515 บาท
10,105 บาท
หรือต่อให้ลงทุนที่ผลตอบแทนเฉลี่ย 5% ต่อปี ต้องลงทุนเดือนละ 35,957 บาท และ 22,515 บาท สำหรับคนกรุงเทพฯ และภาพรวมทั่วประเทศตามลำดับ แล้วลองจินตนาการดูว่าหากรอไปอีก ต้องลงทุนเดือนละเท่าไร ยิ่งถ้าใครมีรายได้ที่ต้องเสียภาษี กองทุน RMF (กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ) ก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่งในการเลือกลงทุน เพราะนอกจากจะได้ผลตอบแทนจากการลงทุนแล้ว ยังสามารถลดหย่อนภาษีตามเงื่อนไขได้ตั้งแต่ปีนี้อีกด้วย เรียกว่าวางแผนตั้งแต่ตอนนี้ นอกจากมีเงินเกษียณแล้ว ยังเห็นผลจากภาษีที่ลดลงตั้งแต่ตอนนี้เลย
เคยมีคนบอกว่า “คนเรารู้วันเกิด แต่ใครจะรู้วันที่ตาย” บางคนมาช้า บางคนมาเร็ว หากวางแผนการเงินในชีวิตไว้ไม่ดีผลที่ได้ก็อาจส่งผลให้คุณภาพชีวิตแย่ลง มาเริ่มวางแผนการเงินให้กับชีวิตของตนนเองกันเถอะ เริ่มตั้งแต่วันนี้จะทำให้มีเวลาเตรียมตัวที่มากขึ้นนั่นเอง
** ที่มาข้อมูล “ค่าใช้จ่ายต่อครัวเรือน” จากสำนักงานสถิติแห่งชาติ ปี 2561
สนใจรับบทความดีดี อัปเดต ข่าวอสังหาริมทรัพย์ และ อ่านคู่มือซื้อขาย พร้อม รีวิวโครงการคอนโดฯ ใหม่ บ้านใหม่ หลากหลายทำเลและราคา รวมถึง ทำความรู้จักกับทำเลฮอตทั่วกรุง เพื่อเพิ่มความมั่นใจในการซื้อ-ขาย-เช่า
เรื่องข้างต้นนี้เขียนโดย สราวุธ เจษฎางษ์กุล AFPTTM ธนาคารกสิกรไทย หากมีข้อสงสัยหรือต้องการปรึกษาวางแผนเพิ่มเติม สามารถปรึกษากับ K-Expert ธนาคารกสิกรไทย ได้ที่ K-Expert@kasikornbank.com

คำนวณยอดผ่อนต่อเดือนตามระยะเวลากู้

เพียงใส่ยอดเงินกู้ที่คุณต้องการ เราจะคำนวณให้คุณเห็นถึงยอดผ่อนชำระต่อเดือนตามระยะเวลาผ่อนและอัตราดอกเบี้ยที่แตกต่างกัน

คำนวณยอดผ่อนต่อเดือน

คำนวณยอดผ่อนชำระต่อเดือนตามอัตราดอกเบี้ยของคุณด้วยเครื่องมือคำนวณสินเชื่อนี้

คำนวณวงเงินกู้สูงสุด

คำนวณสินเชื่อบ้าน ยอดวงเงินกู้บ้านใหม่ที่คาดว่าจะได้รับจากแบงก์และยอดผ่อนชำระในแต่ละเดือน