พาร์ค 168 นพรัตน์ รามอินทรา (Park 168 Nopparat Ramindra) จาก บริษัท แอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเมนท์ จํากัด (มหาชน) คอนโดมิเนียม High Rise 25 ชั้น 3 อาคาร ห้องชุดพักอาศัยรวม 1,224 ยูนิต อาคารจอดรถและสระว่ายน้ำ สูง 8 ชั้น 1 อาคาร แต่ละอาคารมีห้องพักอาศัยเพียงอาคารละ 408 ยูนิต มีความเป็นส่วนตัว ไม่แออัด ใกล้รถไฟฟ้าสายสีชมพู สถานีนพรัตนราชธานี ราคาเริ่มต้น 1.69 ล้านบาท
หลังจากที่ประสบความสำเร็จด้านพรีเซลไปกับโครงการ นอตติ้ง ฮิลล์ ดิ เอ็กซ์คลูซีฟ เจริญกรุง ซึ่งเป็นโครงการแรกของ บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) ในการประกาศเกมเข้ามารุกตลาดคอนโดมิเนียมในเมืองมากขึ้น มาคราวนี้ขยับเข้ามาอีกขั้นกับย่านไพร์มสาทรซึ่งอยู่ใกล้กับถนนสีลมภายใต้แบรนด์ซึ่งเป็นตัวท็อปของค่ายนั่นคือ Knightsbridge Prime Sathorn อยู่ใกล้ BTS ช่องนนทรีและถนนสีลมในระยะที่สามารถเดินได้ ลูกเล่นตัวอาคารโครงการดึงสมดุลระหว่างความเป็น conservative (การอยู่อาศัยรูปแบบเก่า) และ modern (การอยู่อาศัยในรูปแบบมาใหม่) มาใช้รังสรรค์โครงการ 43 ชั้น ที่มีความสูงเท่ากับอาคาร 53 ชั้น ศักยภาพหน้าโครงการถูกเติมเต็มด้วยรถไฟฟ้าสายสีเทา (monorail) ในอนาคต ในขณะเดียวกันราคาเปิดไม่ใช่ราคาอนาคตแต่เป็นราคาปัจจุบันที่ใครหลายๆคนถึงกับตกใจว่าโครงการในย่านสาทรที่มีราคาสตาร์ทที่ 3 ล้านบาท ยังสามารถหาได้อีกหรือ ที่สำคัญมาพร้อมกับคุณภาพและการออกแบบที่เป็นเอกลักษณ์ (iconic) ช่วยเติมสีสันให้กับย่าน สีลม – สาทร ต่อจากโครงการ มหานคร ที่เพิ่งเปิดตัวไปไม่นานมานี้ซึ่งตั้งอยู่ตรงข้าม ไนท์บริดจ์ ไพร์ม สาทร เช่นเดียวกัน
ถึงแม้จะยังไม่ประกาศขายอย่างเป็นทางการ แต่ DDproperty มีรายละเอียดเบื้องต้นเกี่ยวกับทำเลพื้นที่ขึ้นและคอนเซ็ปต์ของโครงการผ่านบทพรีวิวฉบับนี้
รายละเอียดโครงการ (ข้อมูล ณ วันที่ 2 ก.ย. 2559)
ชื่อโครงการ: ไนท์บริดจ์ ไพร์ม สาทร (Knightsbridge Prime Sathorn)
ผู้พัฒนาโครงการ: บริษัท ออริจิ้น พร๊อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน): ORI
ที่ตั้งโครงการ: ซอยนราธิวาส 13 ถนนนราธิวาสราชนครินทร์ ใกล้ BTS ช่องนนทรี
พื้นที่โครงการ: 2-3-68.92 ไร่ (4,675.686 ตร.ม.)
รูปแบบโครงการ: คอนโดฯไฮไรส์ 43 ชั้น (ความสูงเท่ากับอาคาร 53 ชั้น)
จำนวนยูนิต: 720
พื้นที่จอดรถ: 70% หรือประมาณ 506 คัน ทั้งหมดเป็นระบบจอดรถอัจฉริยะ (Automation Parking)
ประเภทยูนิต:
-1 Bedroom (Monoplex) ขนาด 24 ตร.ม.
-1 Bedroom (Monoplex) ขนาด 30 ตร.ม.
-1 Bedroom Plus (Duplex) ขนาด 37 ตร.ม.
-1 Bedroom Plus (Duplex) ขนาด 44 ตร.ม.
สิ่งอำนวยความสะดวก: ล็อบบี้, สระว่ายน้ำ, ฟิตเนส, ห้องสมุด, สวนหย่อม และ Jogging Track
จำนวนลิฟต์: ลิฟต์โดยสาร 4 ตัว ลิฟต์เซอร์วิส 1 ตัว
เริ่มก่อสร้าง: ไตรมาส 3 2560
คาดว่าจะแล้วเสร็จ: ไตรมาส 3 2562
ราคาเริ่มต้น: ประมาณ 3 ล้านบาท หรือ 130,000 บาท/ตร.ม.
เว็บไซต์โครงการ: knightsbridge-sathorn.origin.co.th
รายละเอียดโครงการ
การออกแบบตัวอาคาร
เนื่องจากตัวโครงการตั้งอยู่ใกล้แยก CBD สาทร อาจจะได้รับผลกระทบด้านการบล็อกของวิวทิวทัศน์จากอาคารสำนักงาน ณ แยกนั้น อย่างไรก็ตามทีมงานสถาปนิกได้คิดค้นรูปแบบที่จะสามารถทำให้ผู้อยู่อาศัยเห็นวิวในแบบ City Skyline ได้เกือบ 200 องศา ผ่านการบิดตัวอาคารให้กลายเป็นตัว “Z” หลีกเลี่ยงการบดบังของอาคารใกล้เคียงให้มากที่สุด
ปีกตัว “Z” ทางฝั่งด้านบน (ทิศเหนือ) จะได้เป็นวิวของสวนลุมพินีและถนนพระราม 4
ส่วนแนวลำตัวของ “Z” ฝั่งตะวันตกจะได้เป็นวิวแยก CBD สาทร, ตึกมหานครและคอนโดฯ M Silom
ส่วนแนวลำตัวของ “Z” ฝั่งตะวันออกจะได้เป็นวิวถนนเชื้อเพลิง (พระราม 3)
ปีกตัว “Z” ทางฝั่งด้านล่าง (ทิศใต้) จะติดกับถนนนราธิวาสทอดยาวไปจนถึงถนนเจริญกรุงโดยในบางชั้นตรงส่วนช่วงลำตัวตึกจะเห็นวิวแม่น้ำด้วย
จำนวนยูนิตต่อชั้นจะอยู่ที่ประมาณ 26 ยูนิต ซึ่งถือว่ามีความส่วนตัวมากในแต่ละชั้น
จำนวน floor ของโครงการมีทั้งหมด 43 ชั้น แต่ถ้านับความสูงจริงจะเท่ากับตึก 53 ชั้น สาเหตุที่ทำให้ความสูงนั้นเหลื่อมล้ำกับจำนวนของชั้นคือการที่โครงการบาลานซ์ระหว่างการอยู่อาศัยแบบอนุรักษ์นิยม (conservative) และสมัยใหม่ (modern) โดยผู้ที่ชอบอยู่อาศัยในแบบแรกจะเลือกยูนิตที่เป็นแบบ Monoplex หรือประเภทที่ไม่มีชั้นลอย ความสูงจากพื้นจรดเพดานของยูนิตประเภทนี้จะอยู่ที่ประมาณ 2.6 เมตร สำหรับยูนิตแบบสมัยใหม่จะออกแบบมาเป็น Duplex หรือประเภทที่มีชั้นลอยความสูงจากพื้นจรดเพดานของห้องดูเพล็กซ์จะอยู่ที่ประมาณ 4.4 เมตร
สัดส่วนจำนวนห้องแต่ละประเภท
ห้อง Monoplex ขนาด 30 ตร.ม. 126 ยูนิต
ห้อง Monoplex ขนาด 24 ตร.ม. 106 ยูนิต
ห้องประเภท Monoplex ทั้งสองขนาดจะอยู่ที่ชั้น 14 – 22
ห้อง Duplex ขนาด 37 ตร.ม. 266 ยูนิต (ไซส์อัพเดทจากเดิม 30 เป็น 37 ตร.ม.)
ห้อง Duplex ขนาด 44 ตร.ม. 228 ยูนิต
ห้องประเภท Duplex ทั้งสองขนาดจะอยู่ที่ชั้น 23 – 41
รวมยูนิตทั้งหมด 726 ยูนิต พื้นที่จอดรถจะอยู่ที่ชั้น 1 -13 ที่พิเศษด้วยการนำระบบ Automation เข้ามาใช้ซึ่งเมื่อลูกบ้านขับรถเข้ามาภายในตัวโครงการสามารถจอดเข้าลิฟต์เพื่อนำรถเข้าไปจอดรถอัตโนมัติได้เลยโดยรถของท่านจะถูกดูแลผ่านระบบจักรกลอัจฉริยะ และเมื่อต้องการใช้รถเพียงแค่กดหมายเลขลิฟต์ที่รถของท่านจอดอยู่หลังจากนั้นก็ลงมารอด้านล่างได้เลยไม่ต้องขับขึ้นลงให้เสียเวลา โดยพื้นที่จอดรถมีสัดส่วนถึง 70% หรือประมาณ 506 คัน
พื้นที่ส่วนกลาง
พื้นที่ส่วนกลางจะถูกจัดวางไว้ชั้นดาดฟ้าโดยจะประกอบด้วย สระว่ายน้ำที่ยาวถึง 35 เมตร (lap pool), สระว่ายน้ำระบบวารีบำบัด (therapy pool), fitness, Metropolitan Club หรือเล้าจน์ และห้อง Media Club
นอกจากนี้พื้นที่ชั้น G ยังมียูนิตพาณิชย์อีกสามยูนิตรองรับการเปิดให้บริการของร้านเซอร์วิสต่างๆอาทิเช่น ร้านสะดวกซื้อ, ร้านบริการทำความสะอาดและร้านบริการซักรีด
ชั้น 1-13 จะเป็นพื้นที่สำหรับระบบจอดรถอัจฉริยะ (Automation Parking Lots)
การออกแบบภายในยูนิต
โปรดักส์ของโครงการถูกจัดอยู่ในประเภท Medium Luxury แต่ในขณะเดียวกันเลือกใช้วัสดุคุณภาพเป็นส่วนประกอบของยูนิต เลย์เอ้าท์ของห้องแบบ Monoplex จะนำฟังก์ชันทุกอย่างของห้องบรรจุไว้ในชั้นเดียว ห้องโมโนเพล็กซ์ขนาด 24 ตร.ม. มีฟีเจอร์ที่ให้มาทั้ง living room, bedroom ที่กั้นแยกระหว่างส่วน รวมถึงโซนที่เป็นได้ทั้ง kitchen & pantry และห้องน้ำที่ตั้งอยู่ในห้องนอน
รูป perspective ของห้อง 24 sq.m. Monoplex
ผนังกั้นระหว่าง bedroom และ living room จะเป็นแบบ fixed ไม่ใช่กระจกบานเลื่อน เนื่องจากเลย์เอ้าท์ของห้องถูกออกแบบมาในลักษณะตอนลึกส่งผลให้เมื่อเปิดประตูเข้ามาจะได้มุมมองของห้องที่ดูกว้างขึ้น
พื้นที่ใช้สอยของห้องนอนหากแบบจริงออกมาตามในรูปจะมีพื้นที่กว้างยาว 3 x 1.5 เมตร Floor to Ceiling ประมาณ 2.6 เมตร
ห้อง Monoplex ขนาด 30 ตร.ม.
พื้นที่ที่ถูกเพิ่มขึ้นมาคือห้องอเนกประสงค์ที่สามารถปรับใช้เป็นห้องทำงานหรือห้องนอนเล็กได้อีกห้องหนึ่ง ต้องดูว่ายูนิตจริงที่ออกมาผนังกั้นจะเป็นกระจกเหมือนในภาพจำลองหรือไม่
ห้อง Duplex ขนาดพื้นที่ใช้สอย 44 ตร.ม.
ขนาดพื้นที่ใช้สอยรวมของห้องอยู่ที่ 44 ตร.ม. แบ่งเป็น 2 ชั้น ชั้นล่าง (พื้นที่ใช้สอย 30 ตร.ม.) ประกอบด้วย kitchen & pantry, living room, ห้องน้ำ, ห้องอเนกประสงค์ และระเบียงส่วนตัว: ชั้นบน (พื้นที่ใช้สอย 13 ตร.ม.) เป็นส่วนของห้องนอน และมุมโต๊ะทำงาน
ห้อง Duplex มีขนาด Floor to Ceiling อยู่ที่ 4.4 เมตร พื้นที่หน้ากว้างของห้องอยู่ที่ประมาณ 5 เมตร ห้อง type นี้ดีไซน์แบบโมเดิร์นดึงกลิ่นอาย Industrial แบบอพาร์ตเม้นท์ในนิวยอร์คมาเป็นส่วนประกอบหน่อยๆ สะท้อนวิวทิวทัศน์ City Skyline ด้านนอก ห้องประเภทนี้เป็นหนึ่งในยูนิตไฮไลท์ของโครงการ Knightsbridge Prime Sathorn
ห้อง Duplex ขนาด 37 ตร.ม.
ห้อง Duplex 37 sq.m. มีจำนวนยูนิตมากที่สุดในโครงการ มีความสูง Floor to Ceiling อยู่ที่ 4.4 เมตร และมีขนาดหน้ากว้างของยูนิต 5 เมตรเช่นเดียวกัน
พื้นที่ชั้นล่างมีความสูงประมาณ 2.15 เมตร ประกอบด้วย kitchen และ living room ที่มีบานกั้นแยกสัดส่วนการใช้งาน แต่เลย์เอ้าท์ของห้องนี้จะแตกต่างจากของ Duplex 44 ตร.ม. โดยของ 37 ตร.ม. จะเป็นการวางแบบแนวยาว
ด้านหลังของ living room จะเป็นห้องอเนกประสงค์ที่สามารถปรับใช้เป็นห้องนอนเล็กหรือห้องทำงานก็ได้ อิงจากรูปจำลองจะมีราวม่านติดตั้งเพื่อแยกการใช้งานระหว่างส่วน
spec ชุดสุขภัณฑ์ที่ตะได้รับจะเป็นแบรนด์ Kohler/Mogen หรือเทียบเท่า
ทําเล & การเดินทาง
หากพูดถึงความเป็นศูนย์กลางธุรกิจของกรุงเทพฯจริงๆ (CBD) ในสายตาของชาวต่างชาติยังคงยกให้ถนน สีลม – สาทร เป็นอันดับหนึ่ง ความคึกคักด้านการย้ายสำนักงานจากต่างชาติเข้ามาในย่านนี้จะปรับตัวขึ้นอย่างเป็นลำดับตามสภาพเศรษฐกิจโลกโดยรวม โดยหากเศรษฐกิจโลกอยู่ในสภาวะขาขึ้นบริษัทที่อยู่ในประเทศเศรษฐกิจขนาดใหญ่ต่างๆจะเริ่มขยายสาขาของอาคารสำนักงานเข้ามายังประเทศต่างๆ และย่านที่จะได้รับความสนใจเป็นลำดับแรกในกรุงเทพฯตอบรับกับการขยายตัวของเศรษฐกิจโลกคือย่าน สีลม – สาทร จึงไม่น่าแปลกใจที่ว่าทำไมอาคารสำนักงานเกรดเอส่วนใหญ่จึงถูกตั้งอยู่ในโซนนี้พร้อมอัตราดูดซับการเช่าพื้นที่กว่า 95%
ในขณะเดียวกันด้วยการที่ สีลม – สาทร คือไพร์มโซน ส่งผลให้ราคาที่ดินเริ่มต้นถูกประเมินไว้ที่ประมาณ 1.5 ล้านบาท/ตร.ว. ซึ่งราคาซื้อขายจริงที่เกิดขึ้นในย่านนี้อาจจะสูงกว่าราคาประเมิน นั่นเป็นสาเหตุที่ว่าทำไมไม่ค่อยมีโครงการคอนโดมิเนียมเปิดตัวมากนักเหมือนกับโซนสุขุมวิท จำนวนยูนิตเฉลี่ยเปิดตัวใหม่ในย่านนี้อยู่เพียงที่ประมาณ 4.7% จากจำนวนยูนิตเปิดใหม่รวมของกรุงเทพฯ เนื่องด้วยราคาที่ดินที่สูงและพื้นที่ที่มีอยู่จำกัดนั่นเอง
พื้นที่ตั้งของโครงการ ไนท์บริดจ์ ไพร์ม สาทร ตั้งอยู่บนถนน สาธร – นราธิวาส (ชื่อเต็มนราธิวาสราชนครินทร์) พื้นที่ขึ้นของโครงการปัจจุบันคือปั๊มน้ำมันเชลล์ซึ่งจะสิ้นสุดสัญญาในกลางปีหน้า การจราจรที่หนาแน่นคือเรื่องปกติของแยกสาทร อย่างไรก็ตามฝั่งถนนที่เป็นที่ตั้งของโครงการกลับมีการไหลเวียนของจราจรที่ดี (traffic flow) แตกต่างจากสาทรขาเข้า ด้วยปัจจัยการไหลเลื่อนของการจราจรในฝั่งนี้ส่งผลให้ยอดรายได้ของปั๊มเชลล์ (ที่ตั้งของโครงการ) มีจำนวนมากกว่าสาขาที่อยู่ฝั่งตรงข้ามถึง 3 เท่าด้วยกัน
โครงการตั้งอยู่บนถนน สาทร – นราธิวาส ใกล้กับแยกสาทร (ประมาณ 400 เมตร) และใกล้กับบีทีเอสสถานีช่องนนทรี (ประมาณ 600 เมตร) ถนนเส้นนี้เป็นศูนย์รวมของอาคารสำนักงานเกรดเอมากมายเช่น เอ็มไพร์ ทาวเวอร์, แบงกอก ซิตี้ ที่เป็นที่ตั้งของสำนักงาน Price Water House Coopers และหากโครงการเสร็จยูนิตที่อยู่ชั้นสูงจะสามารถมองเห็นวิวที่เป็นตึกมหานครได้ และตรงแยกสาทรนี้ยังมีจุดเชื่อมไปออกถนนพระราม 4 และเพลินจิตได้เช่นกันโดยผ่านถนน สาทร – วิทยุ
อาจจะเรียกได้ว่าพื้นที่ดินที่ใช้ขึ้นโครงการ Knightsbridge Prime Sathorn คือพื้นที่สุดท้ายที่อยู่ใกล้กับถนน สาทร – สีลม มากที่สุดเนื่องจากพื้นที่ใกล้เคียงคือมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลกรุงเทพซึ่งไม่สามารถถูกรื้อถอนเพื่อพัฒนาโครงการได้ หรือแม้แต่พื้นที่ใกล้เคียงที่ไม่ได้อยู่ในเขตของมหาวิทยาลัยเป็นพื้นที่ประเภทหน้าแคบ ส่งผลให้มีพื้นที่ไม่พอสำหรับพัฒนาโครงการได้เช่นกัน
เสน่ห์ของถนนเส้น สาทร – นราธิวาส อีกอย่างหนึ่งคือ คุณไม่จำเป็นต้องกลับรถด้านหน้าโครงการเพื่อไปติดแหงกอยู่ที่แยกสาทรเพื่อมุ่งหน้าเข้าสุรงศ์ไปพระราม 4 แต่สามารถใช้เส้นทางลัดนั่นคือ ซอยเย็นอากาศ (เส้นทางสีเหลืองในแผนที่ด้านบน) เพื่อเข้าสู่ถนนพระราม 4 ได้
ตัวอย่างพื้นที่หน้าแคบที่อยู่ใกล้ซอยนราธิวาส 13 ซึ่งเป็นที่ตั้งของร้านอาหาร Sortrel สาขาถนนนราธิวาสเช่นเดียวกัน
ตัวโครงการอยู่ใกล้กับจุดขึ้นลงทางด่วน 2 สาย นั่นคือ สายศรีรัช (สามารถไปลงแจ้งวัฒนะ, ดินแดง, ดอนเมืองได้) และ สายเฉลิมมหานคร (สามารถไปลงบางนาได้)
บรรยากาศรอบโครงการ
พื้นที่โครงการที่ปัจจุบันเป็นปั๊มน้ำมันเชลล์ มุมนี้ถ่ายจากทางลง BRT สาทร ปั๊มน้ำมันดังกล่าวจะหมดสัญญากลางปี 2560 ซึ่งหลังจากหมดสัญญาโครงการก็จะเริ่ม process การก่อสร้างทันที
พื้นที่ด้านตะวันตกของโครงการเป็นคอนโดฯ Nara 9 จากค่าย Easternstar อย่างไรก็ตามโครงการ Knightsbridge Prime Sathorn จะมีความสูงมากกว่าของ นารา 9
เปรียบเทียบความหนาแน่นของการจราจรกันระหว่างถนนสองฝั่งรูปด้านบนบนคือฝั่งตรงข้ามโครงการรูปด้านล่างคือฝั่งด้านหน้าโครงการ
ภาพวิวบริเวณรอบโครงการ (ถ่ายจากโดรน)
พื้นที่ Lifestyle
1. ร้านอาหาร Sortrel
2. ร้าน Think Tank
บทวิเคราะห์
Business Model ของออริจิ้นคือการที่ไม่เข้าไปแข่งขันกับใครทั้งในเรื่องของเซกเม้นท์โปรดักส์และพื้นที่ทำเล และ Knightsbridge Prime Sathorn ก็เป็นอีกหนึ่งโปรเจกต์ที่ตอบรับกับแผนธุรกิจนี้ ทีมงาน Business Development ของออริจิ้นได้ทำการศึกษาความเป็นไปได้ในการเข้าซื้อพื้นที่ทำเลที่อยู่ไพร์ม์โซนสาทรในขณะเดียวกันต้องมั่นใจว่าพื้นที่ใกล้เคียงของโครงการแทบจะไม่มีโอกาสการขึ้นอาคารสูงในอนาคตเนื่องจากพื้นที่ใกล้เคียงเป็นที่ดินแบบหน้าแคบและเป็นพื้นที่ของมหาวิทยาลัย
ราคายูนิตที่ขายเฉลี่ยในย่านสาทร – สีลม หากอิงตาม market value จะอยู่ที่ประมาณ 200,000 บาท/ตร.ม. แต่ออริจิ้นเลือกที่จะไม่แข่งขันในตลาดระดับราคาในข้างต้น ราคาเปิดขายของ ไนท์บริดจ์ ไพร์ม สาทร อยู่ที่ประมาณ 130,000 บาท/ตร.ม. ในห้องขนาดเริ่มต้นที่ 24 ตร.ม. หากเปรียบเทียบกับราคาที่ดินที่ขยับตัวสูงขึ้นทุกปีในย่าน สาทร – สีลม อาจจะกล่าวได้ว่าการหาโปรดักส์ที่มาพร้อมกับคุณภาพทั้งด้านการออกแบบและทำเลในราคาระดับนี้เป็นเรื่องที่แทบจะเป็นไปไม่ได้ในอนาคตข้างหน้า
คุณ พีรพงศ์ จรูญเอก กรรมการบริหารของออริจิ้น ต้องการพัฒนาโครงการเพื่อตอบรับดีมานด์ที่ซ่อนอยู่ในขณะเดียวกันไร้ซึ่งซัพพลายตอบสนอง นั่นคือโครงการที่อยู่ใน CBD ที่มาพร้อมกับราคาจับต้องได้โดยผู้ซื้อไม่จำเป็นต้องอยู่ในระดับผู้บริหารระดับสูงหรือเจ้าของธุรกิจก็สามารถเป็นเจ้าของโปรดักส์ในกลุ่ม Luxury ที่อยู่ใจกลางเมืองได้ ทำเล, การออกแบบและคอนเซ็ปต์ของโครงการสร้างความ อยากได้ ในกลุ่มคนที่อยู่ใน Middle Level หรือเป็นกลุ่มของเมเนเจอร์ที่มีรายได้ในระดับกลางและมาพร้อมกับคำว่า ซื้อไหว ท่ามกลางกลุ่มคนเหล่านี้ ซึ่งหากดูโครงการรอบๆในโซน สาทร – สีลม จะเห็นได้ว่าราคาเปิดเริ่มต้นเกือบ 8 ล้านบาท (Ashton Silom) และ 10 ล้านบาท (M Silom) รวมถึงโครงการ The Bangkok ที่อยู่โซนสาทรเหนือ ที่เปิดตัวที่ 10 ล้านบาทเช่นเดียวกัน หรือจะเป็นโครงการเพื่อนบ้าน Nara 9 ที่เริ่มต้นที่ประมาณ 6 ล้านบาท สำหรับราคาเริ่มต้นของ ไนท์บริดจ์ ไพร์มสาทร จะอยู่ที่ประมาณ 3 ล้านต้นเท่านั้น
ไม่เพียงแต่ตอบรับดีมานด์ที่สามารถซื้อไหวของคนกลุ่มนี้แต่ยังตอบรับดีมานด์ทางฝั่ง เช่าไหว ของคนกลุ่มนี้เช่นเดียวกัน ผลตอบแทนเฉลี่ยแต่ละปี (Yield) ที่เกิดจากค่าเช่าของโครงการนี้จะอยู่ที่ประมาณ 6% สำหรับยูนิตทุกประเภท ราคาค่าเช่าต่อเดือนสามารถคำนวณคร่าวๆได้ดังนี้ 17,500 บาท (Monoplex 24 ตร.ม.), 23,000 บาท (Monoplex 30 ตร.ม.), 27,500 บาท (Duplex 37 ตร.ม.) และ 33,000 บาท (Duplex 44 ตร.ม.)