พาร์ค 168 นพรัตน์ รามอินทรา (Park 168 Nopparat Ramindra) จาก บริษัท แอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเมนท์ จํากัด (มหาชน) คอนโดมิเนียม High Rise 25 ชั้น 3 อาคาร ห้องชุดพักอาศัยรวม 1,224 ยูนิต อาคารจอดรถและสระว่ายน้ำ สูง 8 ชั้น 1 อาคาร แต่ละอาคารมีห้องพักอาศัยเพียงอาคารละ 408 ยูนิต มีความเป็นส่วนตัว ไม่แออัด ใกล้รถไฟฟ้าสายสีชมพู สถานีนพรัตนราชธานี ราคาเริ่มต้น 1.69 ล้านบาท
สนใจ คอนโดฯ ในโครงการนี้? เลือกชม รายการประกาศ ราคาโดนใจ
สุขุมวิทช่วงปลายตั้งแต่ซอย 70 ถึง 113 ได้รับความสนใจจากเหล่าดีเวลลอปเปอร์เป็นอย่างมากเนื่องจากมีการขยับของราคาที่ดินอย่างต่อเนื่องประกอบกับศักยภาพทั้งด้านระบบโครงสร้างพื้นฐานและแหล่งค้าปลีกขนาดใหญ่ บริษัท เสนา ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) คือหนึ่งในบริษัทที่มีนโยบายการเข้าซื้อที่ดินที่มีศักยภาพการเติบโตสูง และพื้นที่ในซอยสุขุมวิท 113 คือหนึ่งในพื้นที่ที่ทางเสนาเลือกเพื่อพัฒนาโครงการเจาะผู้ซื้อและผู้เช่ากลุ่ม middle-low end หรือกลุ่มคนระดับกลางลงไป ภายใต้ชื่อ “The Kith Plus Sukhumvit 113” ที่นำความเชี่ยวชาญในเรื่องพลังงานทางเลือกเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของโครงการ และไฮไลท์ด้านระบบโครงสร้างพื้นฐานอย่างส่วนต่อขยายบีทีเอส แบริ่ง – สำโรง ที่เข้ามาช่วยเพิ่มความสะดวกด้านคมนาคม และในอนาคตจะกลายเป็นจุดอินเตอร์เชนจ์กับสายสีเหลือง ราคาเริ่มต้นของโครงการอยู่ที่ประมาณ 1.2 ล้านบาท
พลังงานทางเลือกที่ว่าจะเป็นอะไร รวมถึงจุดอินเตอร์เชนจ์ที่ว่าจะมีเส้นทางอย่างไร มีอะไรน่าสนใจบนพื้นที่ทำเลบนสุขุมวิทช่วง 113 นี้ ติดตามได้เลยครับ
เจาะลึกข้อมูลโครงการ
ชื่อโครงการ: เดอะ คิทท์ พลัส สุขุมวิท 113 (The Kith Plus Sukhumvit 113)
ผู้พัฒนาโครงการ: บริษัท เสนาดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน):SENA
ทำเลที่ตั้ง: ซอยสุขุมวิท 113 ตำบลสำโรงเหนือ อำเภอสมุทรปราการ จังหวัดสมุทรปราการ
เว็บไซต์: sena.co.th
โทร: 1775 ต่อ 37
รายละเอียดโครงการ (ข้อมูล ณ วันที่ 1 ตุลาคม 2559)
พื้นที่โครงการ: 2 – 3 – 19 ไร่ (เฟส 1) พื้นที่รวม 5 – 1 – 29 ไร่
ลักษณะโครงการ: คอนโดมิเนียมโลว์ไรส์ 8 ชั้น 2 อาคาร
จำนวนยูนิต: 425 (เฟสละประมาณ 212)
กลุ่มเป้าหมาย: กลุ่มมนุษย์เงินเดือนที่มีรายได้ตั้งแต่ 2 หมื่นบาทขึ้นไปและอาศัยคนเดียวหรือเป็นคู่, ผู้ที่ทำงานอยู่ในถนนสุขุมวิทช่วงปลายหรือช่วงต่อขยายของแนวรถไฟฟ้าสายสีเขียวเข้ม (อ่อนนุช – แบริ่ง) รวมถึงกลุ่มผู้ที่ทำงานในห้างค้าปลีกต่างๆ บนถนน บางนา – ตราด
สถานะการก่อสร้าง: ประมาณ 10% ปัจจุบันอยู่ในช่วงทดสอบเสาเข็มและอยู่ระหว่างเตรียมงานตอกเสาเข็ม
ลิฟท์: 2 ตัวต่อ 1 อาคาร
ที่จอดรถ: รถยนต์ประมาณ 30% ไม่รวมจอดซ้อนคัน และรถจักรยานยนต์อยู่ที่ประมาณ 49%
สิ่งอำนวยความสะดวก: ฟิตเนส ล็อบบี้พร้อม Wi Fi สระว่ายน้ำ สวนหย่อมทั้งด้านล่างและตามจุดต่างๆ ของตัวอาคาร
ระบบรักษาความปลอดภัย: รปภ. 24 ชม. CCTV, Keycard Access ระบบป้องกันอัคคีภัย (Heat Detector) และที่ตรวจจับควัน (Smoke Detector)
สถานะการขาย: อาคาร A ประมาณ 90%
เงินกองทุนสะสม: 500 บาท/ตร.ม. (ชำระครั้งเดียว ณ วันโอนกรรมสิทธิ์)
ค่าส่วนกลาง: 37 บาท/ตร.ม./เดือน (ชำระเป็นยอดล่วงหน้าจำนวน 1 ปี ณ วันโอนกรรมสิทธิ์)
ราคาเริ่มต้น: 1.2 ล้านบาท
ราคาเฉลี่ย: 35,000 – 40,000 บาท/ตร.ม.
รายละเอียดโครงการ
แนวคิดโครงการ
เสนาฯ นำความเชี่ยวชาญด้านธุรกิจพลังงานทางเลือกเข้ามาผสมผสานกับธุรกิจอสังหาฯได้อย่างลงตัวเกิดขึ้นเป็น “คอนโดโซลาร์” ที่มีการติดตั้งของแผงโซลาร์ด้านบนของตัวอาคาร แสงแดดที่ส่องมายังแผงโซลาร์เหล่านี้จะถูกแปลงเป็นพลังงานไฟฟ้าเข้าสู่ระบบจ่ายไฟของตัวโครงการ โดยไอเดียนี้สอดคล้องกับหนึ่งในมิชชั่นของบริษัทนั่นคือการสร้างความยั่งยื่นทั้งด้านการอยู่อาศัยและสิ่งแวดล้อม
การออกแบบในลักษณะนี้สามารถเห็นได้ในสหรัฐเช่นกันโดยเจ้าของไอเดียบริษัทที่ทำระบบแผงโซลาร์ให้แก่ที่อยู่อาศัย (บริษัท Solar City) คือ Elon Musk ที่เป็นทั้งเจ้าของบริษัทรถยนต์พลังงานไฟฟ้า (Tesla) และบริษัทสร้างกระสวยอวกาศ (Space X) แต่ดูเหมือนว่า โซลาร์ ซิตี้ ทางฝั่งอเมริกานั้นจะเลือกเจาะกลุ่มลูกค้าที่รัฐแคลิฟอร์เนียซึ่งส่วนใหญ่เป็นกลุ่มคนระดับบน อย่างไรก็ตามเทคโนโลยีรักษ์โลกเช่นนี้ทางเสนาฯเลือกนำมาใช้กับโครงการต่างๆทั้งแนวราบและแนวสูงและเกือบจะทุกโปรดักส์เซ็กเม้นท์ นั่นหมายความว่ากลุ่มผู้มีรายได้ชั้นกลางลงมาก็สามารถอาศัยในโครงการที่มาพร้อมกับคำว่า “นวัตกรรม” ได้จริงๆ
นอกจากความใส่ใจด้านสิ่งแวดล้อมและความสนใจในพลังงานทางเลือกแล้วเสนาฯยังมีจุดเด่นอยู่ที่การสร้างความเชื่อมั่นให้แก่กลุ่มลูกค้าที่ไว้ใจในโปรดักส์ของบริษัทโดยได้สร้างระบบ 360 Care หรือการมีระบบเซอร์วิสบริการแก้ไขปัญหาในเรื่องต่างๆเช่น การซ่อมบำรุง, นิติบุคคล และ การรับฝากขาย – เช่า รวมไปถึงสารพันคำถาม ทางทีมงานจะคอยช่วยเหลือตลอด 24 ชม. โดยบริการนี้สามารถเข้าถึงได้ง่ายมากเพียงแค่โหลดแอพพลิเคชั่นเท่านั้น (SENA 360 Service) ยิ่งไปกว่านั้นแอพฯนี้ยังสามารถติดตามปริมาณการลดค่าไฟที่เกิดจากการใช้แผงโซลาร์ได้อีกด้วย ซึ่งลูกบ้านจะสามารถทราบได้ทันทีว่านวัตกรรมที่ทางเสนาฯใช้นั้น “ได้ผล” จริงๆ
ไม่เพียงแต่พลังงานโซลาร์จะถูกนำมาใช้จ่ายไฟให้แก่ยูนิตอยู่อาศัย แต่ยังถูกจ่ายมายังระบบไฟ ณ พื้นที่ส่วนกลางด้วย
ปัจจัยสำคัญที่ทำให้ทางเสนาฯสามารถเลือกพัฒนาโครงการที่ดึงพลังงานทางเลือกมาใช้ในเกือบทุกโปรดักส์เซ็กเม้นต์คือการทำงานแบบบูรณาการหรือการดึงไอเทมจากธุรกิจหนึ่ง (โซลาร์รูฟ) มาสู่อีกธุรกิจหนึ่ง (อสังหาฯ) การทำเช่นนี้จะเป็นการลดต้นทุนได้โดยตรงเพราะไม่จำเป็นจะต้องไปทำการติดต่อพ่อค้าอื่นที่อาจจะขายผลิตภัณฑ์เดียวกันในราคาที่สูงกว่านั่นเอง นี่อาจจะเป็นคำตอบว่าทำไมเสนาฯถึงเลือกลุยหน้าพัฒนาโครงการประเภทนี้ได้อย่างเต็มที่และเปี่ยมด้วยความเชี่ยวชาญย้อนสู่คำว่า “Trust” ที่ทางลูกค้าต่างไว้วางใจ และถือเป็นอีกหนึ่งมิชชั่นของบริษัทเอง
การออกแบบโครงการ
โครงการแบ่งออกเป็นสองเฟสเฟสละหนึ่งอาคาร การออกแบบเป็นแบบเรียบง่ายโดยตัวอาคารมีสีเทาตัดด้วยเส้นสายสีน้ำเงิน แต่ละอาคารจะมีช่อง void 2 ตำแหน่งโดยช่องนี้จะกลายเป็นหนึ่งในพื้นที่ส่วนกลางของลูกบ้าน รูปแบบการจัดวางของสองตัวอาคารเป็นลักษณะตัว “L” ที่คว่ำชนกัน พื้นที่ช่องว่างตรงกลางคือพื้นที่ส่วนกลางที่ประกอบไปด้วยสวนหย่อม, ล็อบบี้, ฟิตเนส และสระว่ายน้ำ
ไฮไลท์ของโครงการคือแผงโซลาร์ที่ถูกติดตั้งอยู่บนชั้นดาดฟ้าของแต่ละอาคารโดยในตอนกลางวันจะดึงแสงอาทิตย์มาเก็บ หลังจากนั้นแสงแดดเหล่านี้จะถูกเปลี่ยนเป็นพลังงานไฟฟ้าเพื่อจ่ายระบบไฟให้แก่ลูกบ้าน ดังนั้นสิ่งที่เป็นประโยชน์จากเทคโนโลยีแผงโซลาร์นี้คือลูกบ้านจะได้ค่าไฟที่ถูกลงเนื่องจากเครื่องกำเนิดไฟของโครงการจะผลิตกระแสไฟฟ้าน้อยลงเพราะดึงพลังงานไฟฟ้าที่แปลงมาจากแสงอาทิตย์มาใช้นั่นเอง
ประเภทของยูนิต ณ เฟสที่ 1 จะเป็นแบบ 1 ห้องนอนขนาด 28 ตร.ม. ทั้งหมด แตกต่างกันในเรื่องของเลย์เอ้าท์ที่จะวางตำแหน่งของห้องน้ำแตกต่างกัน โดย Type A ห้องน้ำจะเข้าจากห้องนอน Type B ห้องน้ำจะอยู่ตรงตำแหน่งของห้องครัว
Master Plan
ชั้น 1 เป็นพื้นที่ส่วนกลาง (ล็อบบี้, สวน, สระว่ายน้ำ และฟิตเนส) และเป็นพื้นที่จอดรถด้วยเช่นกัน
ชั้น 2 เริ่มเป็นชั้นสำหรับพื้นที่อยู่อาศัย จำนวนยูนิตของชั้นอยู่ที่ 29
ชั้น 3 จะเป็นทั้งพื้นที่อยู่อาศัยและพื้นที่ส่วนกลางที่เป็นช่อง void จัดเป็นสวนขนาดเล็กที่มาพร้อมการแบ่งแยกส่วนบนล่างด้วยชั้นดูเพล็กซ์สามารถเข้าถึงได้ด้วยระบบคีย์การ์ด พื้นที่ตรงนี้จะหันไปทางทิศตะวันออกของโครงการที่จะมองเห็นเป็นโครงการทาวน์เฮ้าส์ของเสนาฯ และโครงการเพื่อนบ้าน เลสโต คอนโด โดยขนาดของสวนขนาดเล็กจะกินพื้นที่ยูนิตอยู่อาศัยประมาณ 2 ห้อง ส่งผลให้จำนวนห้องของชั้น 3 จะมี 27 ยูนิต
ชั้น 4 จะมีจำนวนยูนิตเหมือนกับชั้น 3 (27 ห้อง) เนื่องจากจะมีพื้นที่ที่เป็นส่วนของชั้นดูเพล็กซ์ของส่วนกลางของชั้น 3
ชั้น 5 – 6 ไม่มีส่วนของพื้นที่ void ส่วนกลางทำให้มียูนิตที่ 29 ห้อง
ชั้น 7 จะคล้ายกับในส่วนของชั้น 3 เพราะมีพื้นที่ void ส่วนกลางเพิ่มเข้ามาแต่จะถูกจัดไว้คนละตำแหน่งของตัวอาคารโดยจะหันไปฝั่งทางเข้าของโครงการหรือซอยสุขุมวิท 113 นั่นเอง จำนวนยูนิตของชั้นคือ 27 ห้อง
ชั้น 8 เช่นเดียวกันจะมีลักษณะคล้ายกับชั้น 4 นั่นคือจะมีพื้นที่ที่เป็นส่วนของชั้นดูเพล็กซ์ของพื้นที่ส่วนกลางชั้น 7
ภาพจำลองพื้นที่ส่วนกลาง
Infinity Edge Pool ที่ตั้งอยู่ใจกลางพื้นที่สวน พร้อมมุมสำหรับนอนตากอากาศ
Well Balance Fitness ที่หันหน้าเข้าสระว่ายน้ำ
Positive Lobby ที่มีที่นั่งและคอมพิวเตอร์จัดวางไว้คอยรับการใช้งานของลูกบ้าน (พร้อม Wi Fi)
Sena Solar Energy แผงโซลาร์ที่ตั้งอยู่บนดาดฟ้าของอาคาร
Sky Garden View ที่อยู่ในพื้นที่ void ของอาคาร ณ ตำแหน่ง ชั้น 3 และ 7 จากรูปจะเป็นส่วนที่อยู่ที่ชั้น 7 แนวรถไฟฟ้าที่เห็นคือสายสีเหลืองบนถนนศรีนครินทร์
รีวิวห้องชุดโครงการ
Type A พื้นที่ใช้สอย 28 ตร.ม.
Unit Plan
Type A ขนาด 28 ตร.ม. ประกอบด้วย 1 ห้องนอน 1 ห้องน้ำ 1 ห้องครัว 1 ระเบียงส่วนตัว และ 1 ห้องรับแขก
เมื่อเปิดประตูเข้ามาจะเจอกับห้องรับแขกซึ่งมีขนาดประมาณ 2 x 2 เมตร ระยะห่างจากจุดวางโซฟาไปจนถึงตู้ชั้นวางทีวีที่บิ้ลท์อินมาให้สามารถจัดวางทีวีขนาด 40 นิ้วขึ้นไปได้ โต๊ะน้ำชาตรงกลางทางโครงการให้มาด้วยเช่นเดียวกัน ผนังของจริงจะให้มาเป็นสีขาวเรียบ ดังนั้นจะไม่มีกระจกด้านหลังโซฟาเหมือนในห้องตัวอย่าง
ณ พื้นที่เดียวกันมีมุมสำหรับจัดวางโต๊ะรับประทานอาหารขนาด 2 ที่ได้ (โครงการให้มาด้วย) ซึ่งสามารถมิกซ์ห้องรับแขกให้กลายเป็นห้องทานข้าวไปในตัว
ด้านหลังของจุดรับประทานอาหารจะเป็นส่วนที่เปิดไปเป็นครัว โดยมีการกั้นส่วนเป็นประตูกระจกบานเลื่อน สำหรับด้านขวาที่เห็นคือห้องนอนซึ่งห้อง Type A จะบิ้ลท์อินออกมาเป็นช่อง see through มองเห็นกันระหว่างห้องรับแขกและห้องนอนได้ อย่างไรก็ตามเพื่อเพิ่มความเป็นส่วนตัวอาจนำผ้าม่านมาติด
ด้านห้องครัวโครงการบิ้ลท์อินเคาน์เตอร์มาให้พร้อมซึ่งติดตั้งซิ้งค์ล้างจานมาให้เสร็จสรรพ
งานบิ้ลท์อินมีพื้นที่สำหรับจัดเก็บอุปกรณ์ต่างๆ ด้านล่างมาพร้อมช่องขนาดใหญ่ที่สามารถจัดวางไมโครเวฟได้ พื้นครัวได้เป็นเซรามิค 30 x 30 ซม.
พื้นที่ติดกับห้องครัวเป็นประตูบานเลื่อนกระจกที่เปิดออกไปเป็นระเบียงขนาดเล็กซึ่งมีก๊อกน้ำติดตั้งเพื่อรองน้ำในการซักล้างต่างๆ พร้อมเต้าปลั๊กพร้อมฝาครอบกันน้ำ
มุม see through สามารถมองออกมาจากห้องนอนได้เช่นกัน ขนาดพื้นที่ของห้องนอนอยู่ที่ประมาณ 2 x 2 เมตร เตียงขนาด 5 ฟุต โครงการบิ้ลท์อินมาให้ด้วยเช่นกัน
งานบิ้ลท์อินทั้งสอง (ตู้และโต๊ะเครื่องแป้ง) มีพร้อมมาให้ โดยตู้จะเป็นแบบบานเลื่อนทำให้ประหยัดพื้นที่ใช้สอยเพิ่มขึ้น
ห้องน้ำปูด้วยพื้นกระเบื้องเซรามิคชนิดผิวสากเพื่อกันลื่นแต่ผนังเป็นเซรามิคเคลือบเงาผิวลื่น งานตกแต่งผนังตรงจุดชักโครกให้มาแบบห้องตัวอย่าง สุขภัณฑ์และอ่างล้างหน้าให้เป็นของ American Standard จุด shower ให้มาทั้งแบบฝักบัวและเรนชาวเวอร์ พร้อมงานบิ้ลท์อินปูนสำหรับวางสบู่แชมพูหรืออาจจะใช้นั่งก็ได้
ตรงมุมกระจก see through มีเต้าปลั๊กติดตั้งรองรับการใช้งาน โดยอาจจะใช้เป็นการเสียบปลั๊กของทีวีแขวนผนังตำแหน่งปลายเตียงได้
Type B ขนาดพื้นที่ใช้สอย 28 ตร.ม.
Type B ขนาด 28 ตร.ม. ประกอบด้วย 1 ห้องนอน 1 ห้องน้ำ 1 ห้องครัว 1 ระเบียงส่วนตัว และ 1 ห้องรับแขก
เลย์เอ้าท์ของ B จะแตกต่างกับของ A ตรงที่ประตูกั้นส่วนระหว่างห้องรับแขกและห้องนอนจะเป็นประตูกระจกบานเลื่อน เช่นกันหากต้องการเพิ่มความเป็นส่วนตัวอาจหาผ้าม่านมาติดตั้งได้ Floor to Ceiling ของห้องนอนและรับแขกอยู่ที่ประมาณ 2.5 เมตร
จุดรับประทานอาหารจะใช้จุดเดียวกับห้องรับแขกที่มีขนาดเดียวกับของ A (2 x 2 เมตร) ชุดโต๊ะรับประทานอาหารและโต๊ะน้ำชาขนาดเล็กโครงการให้มาด้วยเช่นกัน
ระยะห่างจากจุดวางโซฟาและทีวีสามารถติดตั้งทีวีขนาด 40 นิ้วขึ้นไปแบบสบายๆได้เลย พร้อมงานบิ้ลท์อินชั้นวางที่ทำมาให้พร้อม
ห้องนอนเป็นขนาดเดียวกันนั่นคือ 2 x 2 เมตร มีหน้าต่างติดตั้งมาให้โดยจะเป็นหน้าต่างกระจกบานเลื่อนรางอะลูมิเนียม
กระจกที่นำมาติดตั้งตรงประตูบานเลื่อนเป็น tempered glass คงทนและปลอดภัยเมื่อแตกเพราะจะแตกเป็นผงละเอียดไม่ใช่เป็นเศษกระจก
ตู้ตรงห้องนอนบิ้ลท์อินมาให้เช่นกันเหมือนกับทางฝั่ง Type A นั่นคือเป็นบานเลื่อนเปิดปิด
ครัวจะออกแบบเหมือนกับของ Type A นั่นคือเป็นลักษณะตอนลึก ทางเข้าครัวเป็นประตูกระจกบานเลื่อน
งานบิ้ลท์อินตู้ชั้นวางติดตั้งมาให้พร้อมรวมถึงเคาน์เตอร์ครัว ซิ้งค์ล้างจานติดตั้งมาให้เช่นกัน
เคาน์เตอร์ที่ได้เป็นหินสังเคราะห์เคลือบผิวเพื่อทำให้ง่ายต่อการเช็ดทำความสะอาด
ตำแหน่งของห้องน้ำในห้อง Type B จะอยู่ที่ห้องครัว พื้นและผนังเป็นเซรามิค 30 x 30 ซม. อ่างล้างหน้าและชุดสุขภัณฑ์ American Standard พร้อมกระจกเงาที่ติดตั้งมาให้
โซนเปียกให้มาเหมือน Type A เช่นกัน (ฝักบัว และ rain shower ของ American Standard) และงานบิ้ลท์อินปูนเพื่อเป็นชั้นวางหรือที่นั่งเวลาอาบน้ำ
พร้อมราวแขวนผ้าแสตนเลสที่่ติดตั้งมาให้ด้วย
แอร์ขนาด 9,000 BTU จะแถมมาให้หนึ่งตัวตรงจุดห้องนอนเท่านั้น
ระบบคัตเอ้าท์ที่ได้จะเป็น Schneider แบรนด์จากเยอรมนี (ติดตั้งไว้ตรงตำแหน่งของห้องนั่งเล่น)
สิ่งที่จะได้รับจากโครงการ
ห้อง Type A
-โซฟาพร้อมโต๊ะกลาง 1 ตัว
-ชั้นวางทีวี 1 ตัว
-โต๊ะรับประทานอาหาร 1 ตัว
-เก้าอี้รับประทานอาหาร 2 ตัว
-ตู้เสื้อผ้า 1 ตัว
-เตียงขนาด 5 ฟุต 1 ตัว
-เคาน์เตอร์ชุดครัวพร้อมซิ้งค์
-แอร์ 9,000 BTU 1 เครื่อง แบรนด์ York (ห้องนอน)
-สุขภัณฑ์และอุปกรณ์ shower (American Standard)
ห้อง Type B
-โซฟาพร้อมโต๊ะกลาง 1 ตัว
-ชั้นวางทีวี 1 ตัว
-โต๊ะรับประทานอาหาร 1 ตัว
-เก้าอี้รับประทานอาหาร 2 ตัว
-ตู้เสื้อผ้า 1 ตัว
-เตียงขนาด 5 ฟุต 1 ตัว
-เคาน์เตอร์ชุดครัวพร้อมซิ้งค์
-แอร์ 9,000 BTU 1 เครื่อง แบรนด์ York (ห้องนอน)
-สุขภัณฑ์และอุปกรณ์ shower (American Standard)
พื้นและวัสดุที่จะได้รับ
พื้นห้องนอนและห้องนั่งเล่นจะได้เป็นลามิเนตหนา 8 มม. (ไม้ลามิเนตจะมีความคงทนน้อยกว่าไม้แท้เนื่องจากจำนวนเนื้อไม้จะไม่หนามากเพราะจะใช้การเคลือบผิวแทนเนื้อไม้แทน ดังนั้นควรระวังเรื่องของหนักตกใส่พื้นหรือเรื่องความชื้น)
พื้นห้องน้ำเป็นเซรามิก 30 x 30 ซม.ข้อดีคือทำความสะอาดง่าย ผิวไม่ลื่น และดูดซึมน้ำน้อยทำให้ไม่เกิดปัญหาเรื่องเนื้อกระเบื้องบวม
ทําเล & การเดินทาง
ศักยภาพทำเลถนนสุขุมวิทช่วงบีทีเอสสำโรง
กาขยายของสุขุมวิทชั้นในเริ่มกว้างออกมาเรื่อยๆ โดยมีสิ่งที่นำร่องคือส่วนต่อขยายรถไฟฟ้าไล่มาตั้งแต่ช่วงส่วนต่อขยายรถไฟฟ้าช่วงที่ 1 หรือ อ่อนนุช – แบริ่ง อย่างไรก็ตามพื้นที่ดินโดยรอบบริเวณสถานีของช่วงต่อขยายนี้มีราคาซื้อขายต่อ ตร.วา ที่ค่อนข้างสูง ส่งผลให้บรรดาดีเวลลอปเปอร์ต้องพัฒนาโครงการที่สามารถเรียกราคาเฉลี่ยต่อ ตร.ม. ที่ประมาณ 80,000 บาทขึ้นไป อย่างไรก็ตามเรทราคาต่อ ตร.ม. นี้คงจะสามารถถูกดูดซับได้ในบรรดา กลุ่มลูกค้าระดับกลาง – บน เท่านั้น ดังนั้นการหาทำเลในการพัฒนาโปรดักส์ระดับรองลงมาคือต้องหาพื้นที่ที่จะมาเป็นพระเอกในการพัฒนาโปรดักส์ที่สามารถตอบโจทย์กลุ่มลูกค้าระดับกลางลงมาทั้งด้านราคาและการอยู่อาศัย และนั่นก็คือโซนสุขุมวิทตั้งแต่ซอย 70 – 113 โดยปัจจัยนำร่องที่สร้างความน่าสนใจให้แก่สุขุมวิทช่วงนี้คือ รถไฟฟ้าส่วนต่อขยายช่วงที่ 2 สายสีเขียวเข้ม แบริ่ง – สำโรง
เส้นทางการเดินของบีทีเอสส่วนต่อขยาย แบริ่ง – สำโรง
ใกล้เข้ามาทุกขณะกับการเปิดให้บริการการใช้งานของบีทีเอสสายสีเขียวเข้มส่วนต่อขยายช่วงที่ 2 (แบริ่ง – สำโรง) ที่ตามกำหนดการคือประมาณช่วงต้นเดือนธันวาคม โดยซอยที่อยู่ในแนวรถไฟฟ้าส่วนต่อขยายนี้จะมีตั้งแต่ซอย สุขุมวิท 70 (ฝั่งเลขคู่) – สุขุมวิท 113 (ฝั่งเลขคี่) แต่ดูเหมือนว่าฝั่งที่เหมาะกับการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยมากกว่าคือฝั่งเลขคี่สาเหตุเป็นเพราะว่าซอยต่างๆในฝั่งนี้จะเป็นซอยที่เชื่อมระหว่างถนนสุขุมวิทและถนนศรีนครินทร์นั่นเอง แต่สำหรับฝั่งเลขคู่จะเป็นการทะลุไปยังพื้นที่ติดริมน้ำแทน
รถไฟฟ้าสถานีอินเตอร์เชนจ์สำโรง
เป็นโครงการสถานีอินเตอร์เชนจ์ระหว่างรถไฟฟ้าสองสายนั่นคือสายสีเขียวเข้มส่วนต่อขยายช่วงที่ 2 แบริ่ง – สำโรง และสายสีเหลือง (ลาดพร้าว – สำโรง) ที่จะวิ่งบนถนนศรีนครินทร์ขนานไปกับสายสีเขียวบนถนนสุขุมวิท โดยสายสีเหลืองจะวกเข้าถนนเทพารักษ์เพื่อเข้ามาบรรจบกับสถานีสำโรงของสายสีเขียวเข้มนั่นเอง แต่สายสีเหลืองจะถูกเลื่อนเข็นเข้า ครม. ไปเป็นปี 2560 และตามแผนการจะเสร็จประมาณ 2563 แต่คงจะเลื่อนออกไปอีก ส่วนสายสีเขียวในอนาคตจะสามารถวิ่งไปถึงสมุทรปราการได้เลย
จะสังเกตเห็นว่าถนนสุขุมวิทและถนนศรีนครินทร์คือถนนที่ขนานกันและมีซอยที่เชื่อมถึงกันเช่นซอย 105, 107 (ถนนแบริ่ง), 113 (ซอยวัดด่านสำโรง)
อีกหนึ่งไฮไลท์บนถนนบางนา “The Bangkok Mall”
มหาเมกะโปรเจกต์อีกหนึ่งแห่งที่จะตั้งอยู่ตรง แยกบางนา – ตราด ตัดกับถนนสุขุมวิท “The Bangkok Mall” ที่พัฒนาโดย เดอะ มอลล์ กรุ๊ป ขนาดพื้นที่ดินพัฒนาโครงการมีมากกว่า 100 ไร่ พื้นที่ดังกล่าวเดิมเป็นของ Property Perfect ภายในพื้นที่่ประกอบด้วยคอมมูลนิตี้มอลล์ขนาดใหญ่, โรงแรมและเรสซิเดนซ์ที่บริหารโดย City Realty ซึ่งเป็นเข้าของโรงแรม Chatrium นั่นเอง
The Bangkok Mall ตั้งอยู่ตรงแยก บางนา – ตราด สถานีรถไฟฟ้าที่ใกล้แหล่งค้าปลีกยักษ์นี้คือ บีทีเอสอุดมสุข และ บางนา
ศักยภาพภายในซอยสุขุมวิท 113
ตำแหน่งของโครงการ The Kith Plus สุขุมวิท 113 นั้นอยู่ห่างจากปากซอยซึ่งเป็นที่ตั้งของบีทีเอสสถานีสำโรงประมาณ 450 เมตรซึ่งถือว่ายังคงอยู่ในระยะเดินได้ สำหรับคนที่ไม่คุ้นชินกับซอยนี้ต้องบอกก่อนว่าลักษณะซอยขาเข้าจะเป็นแบบ one-way หรือใช้สำหรับขาเข้าอย่างเดียวเท่านั้น อย่างไรก็ตามขาออกสามารถทำได้โดยการใช้ซอยสันติคาม 2 เพื่อทะลุไปยังซอยสุขุมวิท 111 หลังจากนั้นจะออกมายังถนนสุขุมวิท
ซอยสันติคาม 2 ที่ใช้เข้าสู่ซอยสุขุมวิท 111
การเข้าถึงแหล่งศูนย์การค้าต่างๆและสถานพยาบาล
ถนนที่เป็นที่ตั้งของบรรดาห้างสรรพสินค้ารวมถึงแหล่งเฟอร์นิเจอร์ขนาดใหญ่คือ ถนนบางนา – ตราด โดยไม่จำเป็นที่จะต้องอ้อมไปเข้าผ่านถนนสุขุมวิทแต่สามารถใช้ถนนเส้นศรีนครินทร์เพื่อเข้าสู่ถนนบางนา – ตราดได้ การเข้าสู่ถนนศรีนครินทร์นั้นสามารถนั่งรถหรือขับรถจากสุขุมวิท 113 ได้เลยซึ่งจากตำแหน่งที่ตั้งโครงการ เดอะ คิทท์ พลัส สุขุมวิท 113 จะอยู่ห่างจากปากซอยฝั่งถนนศรีนครินทร์ประมาณ 1 กม. เมื่อเลี้ยวซ้ายออกมาจากซอย 113 ให้ตรงไปเรื่อยๆจนเจอแยกที่สามารถเลี้ยวซ้ายออกไปยังถนนบางนาตราดได้ แต่โดยส่วนใหญ่ห้างสรรพสินค้าจะตั้งอยู่ฝั่งตรงข้ามดังนั้นจึงต้องทำการกลับรถเสียก่อน (ดูเส้นทางตามแผนที่ด้านล่าง) โดยถนนบางนาตราดเป็นที่ตั้งของแหล่งค้าปลีกใหญ่ต่างๆเช่น เซ็นทรัลฯ บางนา, เอสบี ดีไซน์, อินเด็กซ์ ลิฟวิ่ง มอลล์, เมกะบางนา และอิเกีย นอกจากห้างแล้วถนนบางนาตราดยังมีสองโรงพยาบาลตั้งอยู่ด้วยนั่นคือ โรงพยาบาลไทยนครินทร์ และโรงพยาบาลปิยมินทร์
ตำแหน่งของสถานที่ต่างๆทั้งศูนย์การค้าและโรงพยาบาล
การเข้าถึงจุดขึ้นลงทางด่วน
จุดขึ้นลงทางด่วนที่อยู่ใกล้กับซอยสุขุมวิท 113 ที่สุดตั้งอยู่ที่แยก บางนา – ตราด โดยก่อนถึงแยกนั้นจะมีสะพานยกระดับขึ้นไปยังด่านเก็บค่าผ่านทางพิเศษ
จากปากซอย 111 ถึงจุดขึ้นลงทางด่วนมีระยะทางประมาณ 3 กม.
ให้เลือกขึ้นสะพานข้ามไปหากวิ่งข้างล่างไปต่อจะเป็นการวิ่งเข้าสู่ถนนสุขุมวิทโซนชั้นใน
การเดินทางมายังโครงการ
สถานีรถไฟฟ้าที่อยู่ใกล้ที่สุด (ปัจจุบัน) คือสถานีแบริ่ง จากจุดตรงสถานีให้มุ่งหน้าต่อมาเรื่อยๆบนถนนฝั่งเลขคี่เพื่อไปสู่ซอยสุขุมวิท 113 โดยจะมีระยะทางประมาณ 1.4 กม.
ตรงมาเรื่อยๆจนสังเกตเห็นห้างอิมพิเรียลสำโรงที่ตั้งอยู่ฝั่งขวามือ
สังเกตซ้ายมือจะเป็นซอย 113 ระวังอย่าเลยขึ้นสะพานไป
ทางเดินรถจะเป็นในลักษณะวันเวย์
ตรงมาเรื่อยๆประมาณ 450 เมตรที่ตั้งโครงการ เดอะ คิทท์ พลัส สุขุมวิท 113 จะอยู่ฝั่งซ้ายมือซึ่งคือฝั่งตรงข้ามของวัดด่านสำโรงนั่นเอง ถ้าเลือกตรงไปต่อจะเป็นการออกไปยังถนนศรีนครินทร์
ข้างๆสำนักงานขายจะเป็นโครงการทาวน์โฮมของเสนาฯเช่นเดียวกัน สำหรับโครงการถัดจากทาวน์โฮมจะเป็นพื้นที่ของโครงการเพื่อนบ้าน เลสโต คอนโด สุขุมวิท 113 อินเตอร์เชนจ์ สเตชั่น
ทางย้อนกลับไปจะเป็นการออกไปยังถนนสุขุมวิท
สถานที่ Lifestyle
Harbin Ice Wonderland
ฮาร์บิน ไอซ์ วันเดอร์แลนด์ คือเมืองหิมะที่มีทั้งโซนเครื่องเล่นไสลด์เดอร์และโซนแสดงงานประติมากรรมน้ำแข็งจำลองสถานที่สำคัญของไทยและเมืองนอก
ฮาร์บิน ไอซ์ วันเดอร์แลนด์ ตั้งอยู่ใกล้บีทีเอสแบริ่งโดยสามารถกลับรถบริเวณใต้สะพานตรงตำแหน่งบีทีเอสสำโรงได้เลยเพื่อมายังฝั่งตรงข้าม
ตลาดนัดรถไฟศรีนครินทร์
ศูนย์รวมร้านเสื้อผ้าแฟชั่นและไอเทมเจ๋งๆโดยบรรดาพ่อค้าแม่ค้าวัยรุ่น อีกทั้งยังมีอาหารให้เลือกทานกันอย่างหลากหลาย
จากโครงการ เดอะ คิทท์ฯ สามารถเข้าสู่ถนนศรีนครินทร์จากซอย 113 ได้เลย ใช้เวลาเดินทางประมาณ 20 นาทีกว่าๆ
เซ็นทรัล พลาซ่า บางนา
เซ็นทรัลฯ บางนา จะพิเศษตรงที่มีสวนน้ำอยู่ชั้นบนสุดที่ชื่อว่า Pororo Water Park
จากโครงการให้เลือกใช้ซอยสำโรงเหนือ 7 ที่อยู่ติดกับโครงการเพื่อเข้ามายังถนนบางนาโดยผ่านสุขุมวิทซอย 107 และ 105
บทวิเคราะห์
จำนวนซัพพลายด้านที่อยู่อาศัยที่อยู่ในช่วงระหว่างเปิดการขายในละแวกตั้งแต่สุขุมวิท 70 ถึง 113 มีประมาณ 5 โครงการ ซึ่งมีจำนวนยูนิตหลักหลายพัน โดยจากจำนวนซัพพลายที่ว่านี้มีดีมานด์การซื้อที่มาจากการลงทุนหรือเพื่อปล่อยเช่าประมาณ 30% สาเหตุที่ทำให้อุปสงค์การเช่ามีน้อยคือสุขุมวิทช่วงนี้ยังคงต้องใช้เวลาพอสมควรในเรื่องการเดินทางเพื่อเข้าสู่โซนซีบีดีทั้งอโศกและสีลม ดังนั้นความต้องการเช่าของผู้ที่ต้องทำงานในย่านเหล่านี้จึงถูกลดทอนลง
อย่างไรก็ตามสำหรับคนที่มีรถยนต์และยังคงต้องใช้ชีวิตหรือทำงานอยู่ในโซนบางนาหรือสุขุมวิทช่วงปลายนั้นยังคงมองหาที่อยู่อาศัยในลักษณะของห้องชุดที่มีราคาค่าเช่าอยู่ที่ประมาณ 5,000 บาท/เดือน ซึ่งราคานี้คือราคาปล่อยเช่าของโครงการ เดอะ คิทท์ พลัส สุขุมวิท 113 ซึ่งอัตรานี้อาจจะสูงกว่าโครงการที่แล้วเสร็จในโซนนี้ที่อยู่ที่ประมาณ 3,500 – 4,000 บาท/เดือน อย่างไรก็ตามราคาค่าเช่า 5,000 บาท ของการอยู่ในโครงการจากเสนาฯที่มาพร้อมระบบโซลาร์เซลล์นั้นทำให้ค่าไฟที่ต้องจ่ายลดน้อยลงนำไปสู่ราคาเฉลี่ยต่อเดือนทั้งราคาห้องและค่าไฟที่น้อยลง บางทีโดยรวมเฉลี่ยแล้วอาจจะทำให้ได้รายจ่ายต่อเดือนน้อยกว่าโครงการอื่นๆเสียด้วยซ้ำ
การขยับขึ้นของราคาที่ดินในย่านนี้ได้รับอานิสงส์ถัดมาจากช่วงสถานีแบริ่งที่อยู่ในกรอบประมาณ 60,000 – 70,000 แต่นี่คือราคาประเมินในช่วงที่โครงการรถไฟฟ้าส่วนต่อขยาย อ่อนนุช – แบริ่ง เปิดใช้บริการแล้ว คาดว่าราคาที่ดินช่วงบริเวณรอบสถานี สำโรง – ปู่เจ้าสมิงพราย จะขยับขึ้นใกล้เคียงในกรอบราคาเดียวกันหลังจากเปิดใช้บริการ อย่างไรก็ตามราคาซื้อขายจริงของที่ดินที่เกิดขึ้นอาจจะสูงกว่าราคาประเมินประมาณ 20 – 30% และในอนาคตหลังจากรถไฟฟ้าสายสีเหลืองเกิดขึ้นจริงสามารถกลายเป็นอีกปัจจัยที่ผลักดันให้ราคาประเมินที่ดินปรับตัวสูงขึ้นอีก
*ราคาประเมินที่ดินอ้างอิงจากข้อมูลโดยกรมธนารักษ์ที่ประะเมินในช่วงรอบปี 2559 – 2562
เปรียบเทียบโครงการ
1. Lesto Condo Sukhumvit 113 Interchange Station
ชื่อโครงการ: เลสโต คอนโด สุขุมวิท 113 อินเตอร์เชนจ์ สเตชั่น (Lesto Condo Sukhumvit 113 Interchange Station)
ผู้พัฒนาโครงการ: บริษัท บิลท์ แลนด์ จำกัด (มหาชน): PREB
ที่ตั้งโครงการ: ซอยสุขุมวิท 113 (วัดด่านสำโรง) ตำบลสำโรงเหนือ จังหวัดสมุทรปรากา
พื้นที่โครงการ: 7-0-44 ไร่
ประเภทของโครงการการ: คอนโดฯโลว์ไรส์ 8 ชั้น จำนวน 4 อาคาร
จำนวนยูนิต: 786 ยูนิต
รูปแบบห้องชุด: 1 ห้องนอน ขนาด 26.5 ตร.ม. และ 38 ตร.ม
ราคาเฉลี่ยเริ่มต้น: 999,999 บาท หรือ 37,000 บาท/ตร.ม. (บางยูนิต)
เว็บไซต์โครงการ: builtland.co.th/lestocondo
2. Lumpini Ville Sukhumvit 113
ชื่อโครงการ: ลุมพินี วิลล์ สุขุมวิท 113 (Lumpini Ville Sukhumvit 113)
ผู้พัฒนาโครงการ: บริษัท แอล พี เอ็น ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน): LPN
ที่ตั้งโครงการ: ซอยสุขุมวิท 113 (วัดด่านสำโรง) ตำบลสำโรงเหนือ จังหวัดสมุทรปราการ
พื้นที่โครงการ: ประมาณ 15 ไร่เศษ
ประเภทของโครงการการ: คอนโดฯโลว์ไรส์ 8 ชั้น จำนวน 6 อาคาร
จำนวนยูนิต: 1,514 ยูนิต
รูปแบบห้องชุด: 1 Bedroom : 22.50 – 26 ตร.ม., 2 Bedroom 35 ตร.ม.
.
ราคาเฉลี่ยเริ่มต้น: 970,000 บาท หรือ 43,000 บาท/ตร.ม.
เว็บไซต์โครงการ: lpn.co.th/LumpiniVilleSukhumvit113
ตำแหน่งของโครงการที่นำมาเปรียบเทียบ
ทั้งสามโครงการจะอยู่ในซอยเดียวกันนั่นคือ สุขุมวิท 113
ตารางเปรียบเทียบ
ชื่อโครงการ | ยูนิต | พืนที่ใช้สอย | ราคาเฉลี่ย | ราคาขาย |
The Kith Plus Sukhumvit 113 | 425 | 1 br 28 ตร.ม. | 35,000-40,000 บาท/ตร.ม. | 1.2 ล้านบาท |
Lesto Condo Sukhumvit 113 Interchange Station | 786 | 26.5 และ 38 ตร.ม. | 37,000 บาท/ตร.ม. | 1.2 ล้านบาท |
Lumpini Ville Sukhumvit 113 | 1,514 | 1 br 22.5-26 ตร.ม. 2 br 35 ตร.ม. |
43,000 บาท/ตร.ม. | 970,000 บาท |
สรุป
ถึงแม้ว่าจะมีอาคารอยู่อาศัย 2 อาคารแต่ถ้าดูจำนวนยูนิตเฉลี่ยต่ออาคารที่อยู่ที่ประมาณ 210 นั้นถือได้ว่าค่อนข้างมีความเป็นส่วนตัวไม่วุ่นวายจนเกินไป แต่เรื่องการจอดรถอาจจะต้องเป็นการจอดซ้อนคัน แต่ดูเหมือนว่าไฮไลท์หลักของการนำเทคโนโลยีแผงโซลาร์มาใช้สร้างความน่าสนใจแก่ตัวโครงการเป็นอย่างมาก เนื่องจากคนในยุคปัจจุบันนั้นหันมาใส่ใจสิ่งที่จะเป็นการช่วยอนุรักษ์ธรรมชาติมากขึ้น และจะเป็นการดีขึ้นไปอีกหากการช่วยธรรมชาตินั้นสามารถนำไปสู่การประหยัดไฟได้อีกด้วย
ด้านของส่วนกลางสิ่งที่ดูเหมือนว่าจะค่อนข้างหลากหลายคือพื้นที่สวนหย่อมนั่งเล่นที่กระจายตามจุดต่างๆของโครงการตั้งแต่จุดด้านล่างพื้นที่เดียวกับสระว่ายน้ำ และสวน ณ ตำแหน่ง void ที่อยู่ในทั้งสองอาคาร โดยแต่ละอาคารจะมีจำนวนสวนหย่อมที่มาพร้อมการออกแบบเป็นชั้น Duplex ถึงสองจุดด้วยกัน ดังนั้นวิวการพักผ่อนที่จะได้รับจะแตกต่างกันไป (ด้านล่างจะได้เป็น Garden View ด้านบนจะได้เป็น Sky View)
ด้านระบบขนส่งมวลชนเมื่อโครงการแล้วเสร็จจะสามารถมาลงยังบีทีเอสสำโรงได้เลยซึ่งจะอยู่ตำแหน่งใกล้กับซอยสุขุมวิท 113 จากปากซอยมายังตัวโครงการยังอยู่ในระยะที่สามาระเดินได้ แต่ถ้าจะให้เต็มศักยภาพจริงๆด้านระบบรถไฟฟ้าเห็นทีจะต้องใช้เวลาอีกประมาณ 4 – 5 ปีด้วยกันกว่าสายสีเหลือง (ลาดพร้าว – สำโรง) จะสร้างเสร็จจนมาบรรจบกันที่สถานีอินเตอร์เชนจ์สำโรงกับสายสีเขียวเข้ม สำหรับระยะเวลการเดินทางโดยรถไฟฟ้าจากสถานีสำโรงไปยังพื้นที่ประชากรหนาแน่นอย่าง อโศก, สยาม และสีลม ใช้เวลาประมาณ 20, 27 และ 30 นาทีตามลำดับ
ด้านราคาทางเสนาฯยังคงเลือกเจาะกลุ่มฐานลูกค้าระดับกลางลงไปซึ่งเป็นกลุ่มหลักของบริษัท โดยราคาเริ่มต้นยังอยู่ในความสามารถของลูกค้าที่มีรายได้ตั้งแต่สองหมื่นบาทขึ้นไปนั่นเอง จากฐานเงินเดือนนี้จะถูกหักไปเป็นค่าผ่อนแบ้งก์ต่อเดือนที่ประมาณ 8,000 บาท (แบ่งเป็นการชำระดอกเบี้ย 4,000 บาท, เงินต้น 4,000 บาท) คิดที่ดอกเบี้ยคงที่เฉลี่ยสามปีแรกประมาณ 5%
สนใจ คอนโดฯ ในโครงการนี้? เลือกชม รายการประกาศ ราคาโดนใจ