“ทางสามแพร่ง” แค่ได้ยินชื่อบางคนถึงกับขนลุกขึ้นมา เพราะเชื่อกันว่าเป็นทำเลที่ไม่ดีแบบติดลบเลยทีเดียวสำหรับการจะมีสิ่งปลูกสร้างไว้ตรงนี้ แต่เดี๋ยวก่อน วันนี้เรามีคำแนะนำจาก อ.บัณฑิต บุญประคอง “กูรู” ด้านฮวงจุ้ย จากสถาบันศาสตร์ฮวงจุ้ยแห่งประเทศไทยมาแบ่งปันกัน
เวลาที่คุณไปเลือกซื้อบ้านหรือออฟฟิศ โดยส่วนใหญ่แล้วก็มักจะหลีกเลี่ยงไม่ให้ตรงทางสามแพร่ง ซึ่งเหตุผลของคนส่วนใหญ่ที่มักได้ยินหรือที่อ่านเจอตามตำราฮวงจุ้ยที่ขายอยู่ตามท้องตลาดว่าบ้านที่อยู่ตรงกับทางสามแพร่งนั้นไม่ควรอยู่ มักจะเกิดเรื่องร้ายๆ กับผู้ที่อยู่อาศัย บ้างก็ว่าเจ้าที่แรง แต่คุณทราบหรือไม่ว่า หากคุณเลือกบ้านที่มีองศาที่ดี ถูกยุคถูกสมัย มีกระแสพลังงานที่ดีอยู่ประตูหน้าบ้าน ทางสามแพร่งที่เชื่อกันว่าไม่ดีเนี่ยแหละกลับจะนำความเจริญมาให้ผู้อยู่อาศัยเร็วกว่าปกติ เรียกได้ว่าเจริญรุ่งเรืองแบบพลิกชีวิตเลยทีเดียว
หากพูดกันในเชิงวิทยาศาสตร์แล้ว ทางสามแพร่งหรือช่องลมระหว่างตึก คือทางที่เร่งให้ลมผ่านได้เร็วและแรงกว่าปกตินั่นเอง นั่นหมายความว่าถ้าลมพาพลังที่ดีเข้าบ้านก็จะส่งผลดีเร็วกว่าปกติ ส่วนในทางกลับกัน หากเป็นพลังร้าย ลมก็จะนำพาสิ่งร้ายๆ มาสู่ผู้อยู่อาศัยได้เร็วกว่าปกติเช่นกัน
หากคุณได้เรียนรู้ถึงพลังงานฮวงจุ้ยที่แท้จริงแล้วจะพบว่า ทิศทางที่ดีที่สามารถจะรับกระแสพลังจากทางสามแพร่งหรือช่องลมได้นั้นมีเพียง 1 ใน 8 ทิศเท่านั้น ที่เหลืออีก 7 ทิศจะเป็นทิศที่ไม่ควรมีทางสามแพร่งหรือช่องลมระหว่างตึกพุ่งชน จึงเป็นที่มาที่ซินแสฮวงจุ้ยส่วนใหญ่หรือแม้แต่ตำราฮวงจุ้ยทั่วไปมักจะบอกให้คุณเลี่ยงบ้านหรือออฟฟิศที่อยู่ตรงทางสามแพร่ง แต่หากคุณได้มีโอกาสศึกษาเรียนรู้วิธีการที่ถูกต้อง คุณก็สามารถที่จะฉกฉวยโอกาสอันงามนี้ได้ เพราะบ้านหรือออฟฟิศเหล่านี้มักจะขายหรือให้เช่าในราคาที่ถูกกว่าปกติ อีกทั้งยังสร้างความรุ่งเรืองให้กับผู้อยู่อาศัยได้เร็วอีกด้วย
ผมขอยกกรณีศึกษาเกี่ยวกับเคสนี้ให้ฟัง คือมีชาวไทยเชื้อสายอินเดียท่านหนึ่งกำลังปลูกบ้านหลังใหญ่ ซึ่งตั้งอยู่ตรงกับทางสามแพร่งเต็มๆ ช่วงระหว่างที่กำลังก่อสร้างนั้นก็มีซินแสที่เพื่อนแนะนำมาตรวจดูฮวงจุ้ยให้ ซึ่งซินแสก็ให้คำปรึกษาว่าให้ยกเลิกการก่อสร้างทั้งหมด เนื่องจากบ้านอยู่ตรงกับทางสามแพร่ง ถ้าสร้างไปก็จะส่งผลให้ผู้ที่อยู่อาศัยในอนาคตถึงแก่ความตาย ใครๆ ที่ได้ฟังคงต้องผวากันทุกคนแน่นอน เจ้าของบ้านหลังนี้ก็เช่นเดียวกัน เขาจึงสั่งให้หยุดการก่อสร้างทั้งหมดเพราะความกลัวและไม่รู้ว่าจะหาทางออกได้อย่างไร จนมีโอกาสได้โทรหาผม ซึ่งผมเองยังไม่เห็นสภาพฮวงจุ้ยของบ้านหลังนี้ในขณะนั้น ผมจึงขออาสาเข้าไปดูปรากฏว่าเป็นอย่างที่ซินแสท่านนั้นเอ่ยจริงๆ บ้านหลังนี้ตรงกับทางสามแพร่งอย่างจัง อีกทั้งสามแพร่งแห่งนี้มีถนนที่ยาวมากพุ่งตรงมาที่ประตูบ้าน สิ่งแรกที่ผมเริ่มทำก็คือการวัดองศาของบ้าน แล้วนำองศาที่ได้มาทำการคำนวณพลังงานร่วมกับปีที่สร้างดูว่าจะแก้ไขปัญหานี้ได้อย่างไร ก็พบว่าพลังงานที่พุ่งชนบ้านหลังนี้เป็นพลังงานที่ดีในยุค 8 คือช่วงระหว่างปี พ.ศ. 2547-2567 ผมเลยแนะนำให้ปรับแปลนบ้านอีกนิดหน่อย แล้วก็ให้ฤกษ์เริ่มสร้างต่อ
คุณคงอยากทราบแล้วใช่หรือไม่ว่าปัจจุบันชีวิตของเจ้าของบ้านเป็นอย่างไร อีก 2 ปีต่อมา ผมได้รับโทรศัพท์จากเจ้าของบ้านหลังนี้ให้เชิญไปดูฮวงจุ้ยตึกออฟฟิศแห่งใหม่ ผมก็ได้สอบถามกลับไปว่าธุรกิจของเขาเป็นอย่างไรบ้าง เจ้าของบ้านเล่าให้ฟังว่าหลังจากเข้ามาอยู่บ้านหลังนี้ ธุรกิจของเขาก็ทำกำไร 10 ล้านบาทในปีแรก ส่วนในปีที่สองโตแบบก้าวกระโดดมากคือ 40 ล้านบาท จึงจำเป็นต้องขยายออฟฟิศเพิ่มเนื่องจากที่นั่งของพนักงานเริ่มไม่เพียงพอ และเป็นเหตุผลที่ต้องโทรให้ผมมาดูออฟฟิศให้อีกครั้ง
พลังงานที่ผมคำนวณได้ดังกล่าวมาจากวิชาฮวงจุ้ยที่ว่าด้วยหลักของ Time and Space สอดคล้องกับหลักการของนักวิทยาศาสตร์ชื่อดัง “อัลเบิร์ต ไอสไตน์” ซึ่งเชื่อว่าสถานที่เดียวกันแต่อยู่คนละเวลา พลังงานจะแตกต่างกัน และในเวลาเดียวกันแต่ต่างสถานที่ พลังงานก็จะแตกต่างเช่นเดียวกัน ฉะนั้นการตรวจสอบฮวงจุ้ยจะต้องประกอบไปด้วยสิ่งที่ตามองเห็นคือชัยภูมิรอบข้างและพลังงานที่มองไม่เห็น ซึ่งได้จากการคำนวณร่วมกันระหว่างทิศทางและกาลเวลา ฉะนั้นเราจะตัดสินใจว่าบ้านหรือออฟฟิศนั้นๆ ดีหรือไม่ การใช้ตาเปล่ามองคงยังไม่ใช่คำตอบสุดท้ายสักเท่าใดนัก"
เกี่ยวกับผู้เขียน
อ.บัณฑิต บุญประคอง เป็นผู้ร่วมก่อตั้งสถาบันศาสตร์ฮวงจุ้ยแห่งประเทศไทย