สวัสดีค่ะ คุณผู้อ่าน ผ่านพ้นมาจนถึงวันศุกร์ วันสุดท้ายของการทำงานสำหรับคนส่วนใหญ่ ถ้าเหนื่อย ถ้าล้ากันมามากก็นึกเสียว่าเดี๋ยวพรุ่งนี้ก็ได้พักสักที แต่สำหรับใครที่พรุ่งนี้ไม่ได้หยุดพัก ก็ขอให้ทำใจสู้ๆ เข้าไว้นะคะ
วันนี้อยากหยิบยกเรื่องการเก็บออม มาฝากกันค่ะ เพราะเรื่องนี้ถือว่าสำคัญมากทีเดียวนะคะ บางทีคนทำงานกินเงินเดือนอย่างพวกเราอาจจะละเลยไป เพราะว่า ส่วนใหญ่จะบ่นกันว่า หามาได้แต่ละเดือนก็กินใช้กันหมดแล้ว จะเอาที่ไหนไปเก็บ อันนี้ก็ต้องพยายามค่ะ เหตุปัจจัยของแต่ละคนมีไม่เท่ากัน ก็ต้องจัดสรรกันเท่าที่จะทำได้ วันนี้เลยจะนำเรื่องเทคนิคการเก็บลงทุนเก็บออมมาฝากค่ะ เพื่อเป็นแนวทางให้ใครหลายๆ คน
ขั้นแรก-ทำความรู้จักกับตนเอง และเป้าหมายในการเก็บออมลงทุน
การทำอะไรให้สำเร็จ ต้องมีการเตรียมตัวให้พร้อม การลงทุนก็เช่นกันต้องเริ่มจากการกำหนดเป้าหมายการลงทุนที่ชัดเจนว่า ต้องการลงทุนเพื่ออะไร ต้องการใช้เงินประมาณเท่าไร และต้องการบรรลุเป้าหมายเมื่อใด เพราะเป้าหมายที่ชัดเจนจะทำให้เราสามารถเลือกประเภทสินทรัพย์ลงทุนที่เหมาะสม
ขั้นที่สอง-รู้ระดับความเสี่ยงของตนเอง
เมื่อมีเป้าหมายแล้วก็ต้องดูต่อไปว่า เรามีเงินลงทุนมากน้อยเพียงใด เรามีเวลาติดตามข่าวสารด้านการลงทุนหรือไม่ และเราต้องการผลตอบแทนรูปแบบใด มากน้อยเท่าไร และอีกสิ่งที่สำคัญคือ เรายอมรับความเสี่ยงได้แค่ไหน
หากรับความเสี่ยงได้สูง ก็สามารถเน้นการลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงสูง
อย่างเช่น อาจแบ่งสัดส่วนการลงทุนไปไว้ที่หุ้น 70 % , ตราสารหนี้ 20% และเงินฝาก 10%
หากรับความเสี่ยงได้ปานกลาง ก็ไปเน้นลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงปานกลาง-สูง อย่างเช่น ลงทุนในหุ้น 50 % , ตราสารหนี้ 30% และเงินฝาก 20%
หากรับความเสี่ยงได้ต่ำ ก็ไปเน้นการลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงต่ำ-ปานกลาง เช่น ลงทุนในหุ้นสัก 30 % , ตราสารหนี้ 40% และเงินฝาก 30 %
ตรงนี้ไม่มีสูตรตายตัว บางคนอาจไม่ถนัดเล่นหุ้นก็อาจแค่เปิดบัญชีธนาคาร กับซื้อตราสารหนี้ หรือบางคนอาจซื้อทองคำแท่ง ฯลฯ ตรงนี้เราก็จัดสรรกันไปตามแต่เราจะเลือก
ขั้นที่สาม-สร้างพอร์ตการลงทุนให้เป็นระบบ
หลังจากเราประเมินตัวเองได้แล้วว่าเรายอมรับความเสี่ยงได้มากน้อยแค่ไหน ขั้นต่อมาเราก็ต้องมีการจัดสรรสินทรัพย์อย่างเหมาะสม โดยการวางแผนแบ่งเงินไปลงทุนในสินทรัพย์หลายๆ ประเภท เช่น เงินฝาก พันธบัตร หุ้นกู้ กองทุนรวม หุ้น ฯลฯ
ด้วยความที่สินทรัพย์แต่ละประเภทจะมีทิศทางการขึ้นลงราคาแตกต่างกันหากเรามีสินทรัพย์หลายๆ แบบในพอร์ตการลงทุน จะช่วยลดความเสี่ยงจากการขาดทุนทั้งพอร์ตในคราวเดียวกันได้ และทำให้ผลตอบแทนเฉลี่ยของพอร์ตลงทุนอยู่ในกรอบที่เราต้องการได้มากขึ้น
ขั้นที่สี่-จัดทำนโยบายการลงทุนแบบฉบับของตนเอง
นโยบายการลงทุนในแบบของเรานั้น จะต้องมีข้อมูลในเรื่องต่างๆ ดังนี้
-เป้าหมายการลงทุน จำนวนเงิน และระยะเวลาลงทุน
-ข้อจำกัดในการลงทุน
-ระดับผลตอบแทนที่ต้องการ
-แนวการคัดเลือกสินทรัพย์ที่ช่วยให้บรรลุเป้าหมาย
-วิธีการติดตามและทบทวนผลการลงทุน
ข้อนี้เราทำเพื่อเป็นกรอบการตัดสินใจในการลงทุน ซึ่งเราต้องนำมาทบทวนและปรับหเป็นปัจจุบันเสมอๆ
ขั้นที่ห้า-ลงทุนตามกรอบนโยบายที่วางไว้
เมื่อเราวางแผนได้ดีแล้วก็ลุยเลย ลงทุนไปตามแผนที่วางไว้ได้ หากจะลงทุนในหุ้น ตราสารหนี้ EFT หรืออนุพันธ์ เราก็ต้องไปเปิดบัญชีกับบริษัทหลักทรัพย์ ( บล.) หรือที่เรียกกันว่า “โบรกเกอร์”
หากเราอยากไปลงทุนในกองทุนรวม เราต้องไปเปิดบัญชีกับบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.)
แต่ถ้าเราต้องการแค่ฝากธนาคารทั่วไป ก็ง่ายมาก แค่ไปเปิดบัญชีตามธนาคารต่างๆ
หรือถ้าใครจะลงทุนในแบบอื่นใดๆ ก็จัดไปตามใจรัก และความถนัดส่วนตัว
ขั้นสุดท้าย-ติดตามผลสม่ำเสมอ
เราต้องคอยวัดผลดูว่าการลงทุนของเราเดินไปสู่เป้าหมายหรือไม่ อาจจะไม่ได้ถี่มาก จนไม่เป็นอันทำอย่างอื่น แต่อาจจะคอยเช็คทุก 6 เดือน หรือ 1 ปี หากดูแล้วการลงทุนของเรามันไม่ได้ผลตามที่วางไว้ก็อาจต้องปรับพอร์ตเสียใหม่เพื่อกลับลำได้ทันท่วงที
รู้อย่างนี้แล้ว หากใครพอจะมีเงินเหลือสำหรับเก็บออมลงทุนก็อย่ารอช้า แต่ว่าถ้าใครพิจารณาแล้วพิจารณาอีกก็ไม่เห็นหนทางที่เราจะเก็บได้ ลงทุนได้ เพราะหามาเท่าไรเป็นต้องใช้จนหมด ด้วยความจำเป็นของชีวิตบังคับ ( อาทิ ค่าเทอมลูก ค่าผ่อนบ้าน จ่ายหนี้หรือว่าส่งแอ๋วเรียนรามฯ …ฮา ฮา ฮา ) อันนี้ก็ต้องมาทบทวนตัวเองใหม่ว่า สิ่งที่เราต้องจ่ายออกไปนั้น มันเกิดจากความจำเป็นของชีวิตจริงๆ หรือเป็นข้ออ้างเพื่อสนองความต้องการส่วนตัวอันไม่ใช่ปัจจัยสำคัญ หรือเป็นความจำเป็นของชีวิตจริงๆ ประมาณว่าขาดสิ่งนี้แล้ว ฉันต้องตาย อยู่เป็นคนไม่ได้อีกต่อไป
หากทบทวนแล้ว และสามารถตัดรายจ่ายบางอย่างออกไปได้ เราก็จะเบาตัวขึ้น และสามารถเก็บออมได้ก็ขอให้ลองตัดใจจากสิ่งฟุ่มเฟือยที่เราสามารถขาดได้ ออกไปนะคะ แล้วเราจะสามารถเก็บออมได้ค่ะ
แต่ถ้าใครโชคไม่ดี เพราะเงินที่หามาได้ มันพอดี๊ พอดี กับสิ่งที่ต้องจ่ายซึ่งเป็นเรื่องที่ตัดไม่ได้เลยจริงๆ ก็ขอให้ใจเย็นๆ ค่ะ คิดในแง่ดีว่า ชีวิตมักมีบททดสอบเสมอ เราอย่าไปท้อ หรือเศร้า ทำหน้าที่ของเราให้ดีที่สุด สักวันพอเราเริ่มลืมตาอ้าปากได้ ก็อาจจะเก็บเงินได้บ้างอะไรบ้าง ต้องสู้ๆ ค่ะ
พูดก็พูดนะคะ เราก็อย่าไปยึดติดกับเรื่องเก็บเงินอะไรจนเครียดเลยค่ะ เอาเป็นว่า หากมีเหลือก็เก็บเผื่อลงทุนไป แต่ถ้ามันชักหน้าไม่ถึงหลังจริงๆ หรือ รายได้มันพอดีกับร่ายจ่ายจำเป็นของชีวิตฟิตๆ เลย ก็อย่าไปวอรี่กับมันเลยค่ะ
เครียดไปก็เท่านั้น สู้เอาเวลามาพักผ่อน หรือทำใจให้สบายดีกว่าค่ะ
ถ้าไม่ไหว ก็หายใจลึกๆ เดินเล่น ชมนกชมไม้ไปพลางๆ
ค่อยๆ ผ่อนคลายตัวเองกันดีกว่า
มันต้องมีวันของเราบ้าง สักวัน
สู้ๆ ค่ะ