เมื่อเริ่มต้นด้วยความยิ่งใหญ่ สิ่งที่ยากและดูเป็นความท้าทายหลังจากนั้นคือทำอย่างไรที่จะรักษาความ “ว้าว” หรือความตื่นเต้นให้คงระดับเดิมหรือเพิ่มขึ้นได้อย่างไร นั่นคือสิ่งที่เราสงสัย และไม่พลาดที่จะไปนั่งคุยกับ “ธนวันต์ ชัยวัฒนะ” กรรมการผู้จัดการ บริษัท แมกโนเลีย ไฟน์เนสท์ คอร์ปอเรชั่น ผู้พัฒนาโครงการมิกซ์ยูสสุดหรูบนที่ดินผืนใหญ่ล็อตสุดท้ายบนถนนราชดำริอย่าง “แมกโนเลียส์ ราชดำริ บูเลอวาร์ด”
“หากถามผมว่ารู้สึกลำบากใจหรือไม่ในการที่จะพัฒนาโครงการใหม่ๆ ต่อจากนี้ ผมตอบได้เลยว่านอกจากจะไม่ลำบากใจแล้ว แต่กลับรู้สึกว่าการทำงานที่แตกต่างแล้วได้รับผลตอบรับที่ดี ก็ยิ่งอยากจะทำต่อไปเรื่อยๆ จริงอยู่ที่การทำตามคนอื่นๆ จะง่ายกว่าที่สำคัญไม่มีความเสี่ยง แต่สิ่งที่เรายืนหยัดที่จะทำต่อไปคือการสร้างสรรค์ไลฟ์สไตล์ใหม่ๆ เพื่อนำเสนอให้กับลูกค้า” อดีตวิศวกรหนุ่มกล่าว
ด้วยแนวคิดดังกล่าวนี่เอง ทำให้ก้าวต่อไปของแมกโนเลียฯ ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของดีทีกรุ๊ปของกลุ่มซีพี เป็นย่างก้าวที่มีความน่าสนใจ เมื่อบริษัทมีแผนร่วมทุนกับยักษ์ใหญ่แห่งวงการรีเทลอย่าง สยามพิวรรธน์ในการพัฒนาเมกะโปรเจคบนที่ดินขนาดกว่า 40 ไร่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา โดยคาดว่าจะเปิดตัวพร้อมรายละเอียดที่แน่นอนในช่วงครึ่งแรกของปี 2557

จากการเปิดเผยรายละเอียดเบื้องต้นโดยแหล่งข่าวผู้บริหารวงการค้าปลีกกับสื่อก่อนหน้านี้ บิ๊กโปรเจคมูลค่าโครงการกว่า 35,000 ล้านบาทแห่งนี้จะพัฒนาภายใต้ชื่อ "บางกอก เจ้าพระยา ริเวอร์ฟร้อนท์ ไอ-ซิตี้" ในคอนเซ็ปต์มิกซ์ยูส ประกอบด้วย 3 ส่วน ได้แก่ ศูนย์การค้า, เอ็นเตอร์เทนเมนต์ คอมเพล็กซ์, คอนโดมิเนียมหรูริมแม่น้ำเจ้าพระยาที่มีความสูงที่สุดในประเทศจำนวน 95 ชั้น
“ไฮไลท์ของเราในปีหน้า คงจะเป็นโครงการริมแม่น้ำเจ้าพระยาแห่งนี้ ซึ่งจะมีการเปิดเผยในรายละเอียดอีกครั้งในช่วงครึ่งปีแรก” นายธนวันต์กล่าว
ในขณะที่ความคืบหน้าของโครงการปัจจุบันอย่าง แมกโนเลียส์ ราชดำริ บูเลอวาร์ด ซึ่งเป็นโครงการมูลค่า 6,000 ล้านบาท ที่ประกอบด้วยส่วนที่เป็นเรสซิเดนซ์จำนวน 316 ยูนิต ขนาดตั้งแต่ 1 -2 ห้องนอน ไปจนถึงห้องเพนท์เฮ้าส์และดูเพล็กซ์ เพนท์เฮาส์ พื้นที่ใช้สอยตั้งแต่ 48-360 ตารางเมตร และส่วนที่เป็นโรงแรมระดับ 6 ดาว ภายใต้แบรนด์ “วอลดอร์ฟ แอสโทเรีย” (Waldorf Astoria) ในเครือโรงแรมฮิลตันนั้น ปัจจุบันเริ่มดำเนินการก่อสร้างในส่วนของโครงสร้างตัวอาคาร ซึ่งมีความคืบหน้าอย่างรวดเร็ว และคาดว่าจะแล้วเสร็จทันตามกำหนดในช่วงไตรมาส 4ของปี 2558

Waldorf Astoria experience
ส่วนความคืบหน้าของยอดขายนั้น ปัจจุบันมียอดขายกว่า 65% แล้ว โดยมีสัดส่วนลูกค้าที่เป็นทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ 50: 50 ทั้งนี้ ในส่วนของลูกค้าชาวต่างชาตินั้นประกอบด้วยผู้ซื้อชาวฮ่องกง (15%) จีน (10%) สิงคโปร์ (8%) และชาติอื่นๆ จากทั้งโซนเอเชีย ตะวันออกกลาง และยุโรป โดยราคาห้องชุดของโครงการในช่วงเปิดตัวโครงการเมื่อเดือนมิถุนายน 2555 นั้นเริ่มต้นที่ 170,000 บาทต่อตารางเมตร แต่ในปัจจุบันราคาขยับขึ้นสูงกว่า 200,000 บาทต่อตารางเมตร และมีแนวโน้มที่จะสูงขึ้นเมื่อโครงการแล้วเสร็จ
ในช่วงที่ผ่านมา บริษัทได้ไปเปิดขายโครงการในต่างประเทศและประสบความสำเร็จในเรื่องของยอดขาย โดยเฉพาะในฮ่องกง ที่บริษัทไปโร้ดโชว์เมื่อเดือนพฤษภาคมและสามารถฟันยอดขายได้ถึง 19 ยูนิตมูลค่ารวม 335 ล้านบาท นับเป็นยอดขายที่สูงที่สุดของโครงการอสังหาริมทรัพย์จากเมืองไทยที่ไปเปิดขายในฮ่องกง

“เราค่อนข้างพอใจกับยอดขายในปัจจุบัน และไม่คิดที่จะรีบปิดการขายแต่อย่างใด ไม่ใช่ว่าเราไม่อยากขายนะ แต่มันเป็นเรื่องของการเพิ่มมูลค่า โดยตั้งแต่เปิดตัวมา ราคาในปัจจุบันก็เพิ่มสูงขึ้นมาราว 10-15% ได้ แต่อย่างไรก็ดี คาดว่าในสิ้นปีนี้ยอดขายน่าจะเกิน 70% แน่นอน” นายธนวันต์กล่าว
โดยนายธนวันต์คาดว่าราคาของโครงการเมื่อแล้วเสร็จในอีก 2 ปีข้างหน้าจะขยับเพิ่มขึ้นจากราคาในช่วงเปิดตัวอย่างน้อย 20%
“ในช่วงปลายปีนี้เราคงเน้นการส่งเสริมการขายภายในประเทศผ่านอีเวนท์และการออกโปรโมชั่นต่างๆ ร่วมกับสถาบันการเงินโดยมอบส่วนลดสูงสุดถึง 1.4 ล้านบาท”
“สำหรับแผนในการพัฒนาธุรกิจในอนาคต เราคงเน้นถึงความต่อเนื่องของโครงการใหม่ แต่ในเรื่องของระยะเวลานั้น ไม่ได้กำหนดตายตัวว่าจะต้องปีละ 1 โครงการหรือ 2 ปี 1 โครงการ แต่จะดูตามความเหมาะสม เนื่องจากโครงการที่เราพัฒนาอย่างโครงการปัจจุบันถือว่าเป็นโครงการที่มีขนาดค่อนข้างใหญ่ ในขณะที่โครงการใหม่ที่จะพัฒนาในปีหน้าก็จะใหญ่กว่าโครงการที่ราชดำริถึง 4 เท่าเลย”
นอกจากนี้ ผู้บริหารหนุ่มได้เผยมุมมองต่อตลาดอสังหาริมทรัพย์ระดับลักซ์ชัวรี่ในช่วงโค้งสุดท้ายของปีนี้ ต่อเนื่องถึงต้นปี 2557 ว่ายังคงเติบโตต่อไปได้เรื่อยๆ แม้จะมีปัจจัยลบอย่างสภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวและสถานการณ์ทางการเมืองในปัจจุบัน

“ผมคิดว่าตลาดลักซ์ชัวรี่เป็นตลาดที่มีความผันผวนน้อยมากเมื่อเทียบกับตลาดอื่นๆ แต่สิ่งที่คุณจะไม่เห็นคือราคาที่เด้งขึ้นไปเป็น 2 เท่า 3 เท่า ดูได้จากช่วงที่สถานการณ์การเมืองไม่ค่อยดี แต่ปรากฎว่าถ้าไม่นับรวมยอดที่เราไปโร้ดโชว์ต่างประเทศ ยอดขายช่วงนั้นกลับเป็นช่วงที่ขายดีที่สุด ดังนั้น ผมคิดว่าตลาดค่อนข้างเสถียร ส่วนในปีหน้า ตลาดน่าจะยังมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง ในระดับราคาที่ไม่ขึ้นแบบหวือหวา”

อย่างไรก็ดี นายธนวันต์มองว่าหากสถานการณ์ทางการเมืองมีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ อาจจะกลายเป็นปัจจัยเสี่ยงได้ เนื่องจากส่งผลกระทบต่อการตัดสินใจของผู้ซื้อในทุกตลาด ไม่ใช่เฉพาะตลาดลักซ์ชัวรี่เพียงอย่างเดียว
เรื่องข้างต้นนี้เขียนโดย กาญจนา พาหา บรรณาธิการ DDproperty.com หากมีคำถามเพิ่มเติมสามารถติดต่อได้ที่ kanchana@ddproperty.com
อัพเดทข่าวในแวดวงอสังหาริมทรัพย์ ทางอีเมลส่งตรงจากเว็บไซต์อสังหาฯ อันดับ 1 ของเมืองไทยฟรี สมัครได้ที่นี่
เรื่องอื่นที่น่าสนใจ