ผลสำรวจเผยคนเอเชียร่ำรวยด้วยสินทรัพย์แต่รายได้หลังเกษียณต่ำ ชี้ตลาดกองทุนรวมรับอานิสงส์หลังคนหันมาสนใจการลงทุนที่สร้างรายได้มากขึ้น
ตามรายงานผลวิเคราะห์ความมั่นคงด้านรายได้หลังเกษียณของครัวเรือนผู้สูงอายุของบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน แมนูไลฟ์ใน 5 เขตเศรษฐกิจของเอเชียได้แก่ ฮ่องกง ญี่ปุ่น เกาหลี สิงคโปร์ และเกาหลีใต้ ซึ่งเป็นกลุ่มประเทศที่มีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของประชากรจากวัยทำงานเข้าสู่วัยเกษียณค่อนข้างสูงพบว่าครัวเรือนในประเทศและเขตการปกครองเหล่านี้มีระดับความมั่งคั่งทางสินทรัพย์ที่สะสมไว้ค่อนข้างสูง และเมื่อพิจารณาเป็นรายประเทศพบว่า
ฮ่องกงมีการพัฒนาระบบบำนาญอยู่ในเกณฑ์ที่ดีซึ่งช่วยเสริมความมั่นคงด้านรายได้หลังเกษียณ อย่างไรก็ตาม ชาวฮ่องกงมีแนวโน้มออกจากตลาดแรงงานตั้งแต่อายุยังน้อย และมีรายได้รับจากสินทรัพย์ที่สะสมไว้ในระดับต่ำ เนื่องจากลงทุนค่อนข้างมากในรูปเงินฝากธนาคารซึ่งเป็นสินทรัพย์ความเสี่ยงต่ำและอัตราดอกเบี้ยอยู่ในระดับต่ำเป็นประวัติการณ์
ในขณะที่ความมั่นคงด้านรายได้หลังเกษียณของญี่ปุ่นได้รับแรงสนับสนุนจากอัตราส่วนผู้สูงอายุที่อยู่ในตลาดแรงงานในระดับสูง โดยมีผู้สูงอายุที่ยังคงทำงานต่อในวัยเกษียณถึงร้อยละ 22 อย่างไรก็ตาม รายได้หลังเกษียณที่น้อยลงเนื่องจากได้รับความช่วยเหลือจากครอบครัวลดลงมาก
สิงคโปร์เป็นหนึ่งในประเทศที่มีกลุ่มประชากรผู้สูงอายุเพิ่มขึ้นเร็วที่สุดในเอเชีย และมีระดับสวัสดิการภาครัฐต่ำที่สุดในบรรดาเขตเศรษฐกิจที่สำรวจ แต่ในทางกลับกัน ความมั่นคงด้านรายได้หลังเกษียณของสิงคโปร์ได้รับปัจจัยบวกจากระบบบำนาญที่ดี ซึ่งสะสมเงินบำนาญไว้ถึงร้อยละ 68 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ
ส่วนรายได้หลังเกษียณในเกาหลีใต้ ได้รับอานิสงส์จากตัวเลขสัดส่วนผู้สูงอายุในตลาดแรงงานที่สูงที่สุดในเขตเศรษฐกิจที่สำรวจ อย่างไรก็ตาม สวัสดิการภาครัฐที่ต่ำ โดยอยู่ที่เพียงร้อยละ 3 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศเป็นสิ่งท้าทายสำหรับผู้สูงอายุในเกาหลีใต้ เนื่องจากภาระสร้างความมั่นคงด้านรายได้หลังเกษียณตกอยู่ที่แต่ละครัวเรือนมากกว่าเขตเศรษฐกิจอื่น
ด้านนายต่อ อินทวิวัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน แมนูไลฟ์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่าผลวิเคราะห์ดังกล่าวสะท้อนให้เห็นถึงภาพความมั่นคงด้านรายได้หลังเกษียณของประเทศต่างๆ ในภูมิภาคเอเชีย รวมทั้งประเทศไทย คือร่ำรวยด้วยสินทรัพย์ แต่รายได้หลังเกษียณต่ำ โดยครัวเรือนที่อยู่ในสถานการณ์ดังกล่าวมีแนวโน้มจะต้องขายทรัพย์สินที่สะสมไว้ เช่น อสังหาริมทรัพย์ ที่ดิน และโภคภัณฑ์ หรือเบิกเงินประกันชีวิตหรือเงินฝากธนาคารเพื่อนำไปใช้จ่ายในช่วงวัยเกษียณ
“ไม่ว่าจะมีความมั่งคั่งระดับใด ครัวเรือนต่างๆ สามารถบริหารสินทรัพย์ให้เกิดประโยชน์อย่างมีประสิทธิภาพได้ โดยการจัดสรรประเภทสินทรัพย์ใหม่ ซึ่งอาจจะเป็นวิธีการเปลี่ยนจากเงินออมหรือเงินฝากธนาคารมาเป็นการลงทุนในตราสารทุน ตราสารหนี้ หรือ ผลิตภัณฑ์ที่มีการกระจายลงทุนสินทรัพย์หลายประเภท (Asset Allocation) โดยมีสินทรัพย์หลายประเภทด้วยกันที่สามารถสร้างรายได้ให้แก่ผู้ลงทุน อย่างไรก็ตาม สิ่งเหล่านี้ได้เริ่มเกิดขึ้นบ้างแล้วในประเทศไทยผ่านการการลงทุนในกองทุนรวม ซึ่งเราพบว่าในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา อุตสาหกรรมกองทุนรวมในประเทศไทยมีการเติบโตอย่างรวดเร็ว โดยมีมูลค่าสินทรัพย์ภายใต้การจัดการเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 500 จาก 0.435 ล้านล้านบาทเมื่อสิ้นปี 2545 เป็น 2.614 ล้านล้านบาทเมื่อสิ้นปี 2555 ซึ่งชี้ให้เห็นว่า ผู้ลงทุนได้มองหาทางเลือกต่างๆ ในการลงทุนที่มีโอกาสสร้างผลตอบแทนสูงกว่าอัตราดอกเบี้ยเงินฝากธนาคาร ซึ่งอยู่ในระดับต่ำเป็นประวัติการณ์และในบางเวลา ผลตอบแทนที่แท้จริงอาจถึงขั้นติดลบเมื่อพิจารณาถึงอัตราเงินเฟ้อด้วย” นายต่อกล่าว
อัพเดทข่าวในแวดวงอสังหาริมทรัพย์ ทางอีเมลส่งตรงจากเว็บไซต์อสังหาฯ อันดับ 1 ของเมืองไทยฟรี สมัครได้ที่นี่
ข่าวอื่นที่น่าสนใจ