AREA มองตลาดที่อยู่อาศัยเชียงใหม่เริ่มเข้าสู่สภาวะทรงตัว หลังบูมต่อเนื่องมาตั้งแต่ปี 52 และนโยบายด้านสาธารณูปโภคต่าง ๆ ในปัจจุบันยังไม่ชัดเจน
ดร.โสภณ พรโชคชัย ประธานกรรมการบริหาร ศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย บจก. เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส หรือ AREA เปิดเผยว่าจากการสำรวจตลาดอสังหาริมทรัพย์เชียงใหม่อย่างต่อเนื่องมาตั้งแต่ปี 2537 ล่าสุดพบว่ามีจำนวนโครงการที่อยู่อาศัยที่สำรวจได้ทั้งหมดถึง 368 โครงการ มูลค่า 123,866 ล้านบาท จำนวน 46,349 ยูนิต ราคาเฉลี่ย 2.672 ล้านบาท ถูกกว่าราคาบ้านในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑลที่มีราคาขายประมาณ 3 ล้านบาท ในจำนวนนี้ขายไปแล้ว 33,078 ยูนิต หรือ 71% คงเหลือ 13,271 ยูนิต
โครงการที่อยู่อาศัยที่เปิดขายทั้งแนวราบและแนวสูง ส่วนมากอยู่ในเขตอำเภอเมืองเชียงใหม่จำนวน 154 โครงการ รวม 18,518 ยูนิต คิดเป็น 42% ของจำนวนหน่วยทั้งหมด ส่วนอำเภอที่มีโครงการน้อยที่สุด ได้แก่ อำเภอแม่ริม มีเพียง 15 โครงการ รวม 1,533 ยูนิต (3%)
อำเภอที่มียอดขายสูงสุดได้แก่ อำเภอดอยสะเก็ด จากหน่วยขายทั้งหมด 3,794 ยูนิต ปรากฎว่าขายไปแล้ว 84% เหลือขายอยู่เพียง 613 ยูนิตเท่านั้น ปัจจัยที่บ้านในย่านนี้ขายดีเนื่องจากมีราคาค่อนข้างถูกคือเฉลี่ยเพียงยูนิตละ 1.928 ล้านบาท รองลงมาเป็นอำเภอสารภี โดยขายได้แล้ว 2,187 ยูนิต หรือ 82% จากหน่วยขายทั้งหมด 2,661 ยูนิต โดยราคาเฉลี่ยของบ้านในอำเภอนี้อยู่ที่ 2.470 ล้านบาทต่อยูนิต
ส่วนอำเภอที่มีสัดส่วนที่ขายได้ต่ำสุดได้แก่ อำเภอสันกำแพง โดยขายได้เพียง 58% หรือ 3,332 ยูนิตจากทั้งหมด 5,699 ยูนิต ราคาบ้านเฉลี่ยอยู่ที่ 2.641 ล้านบาท
อำเภอที่บ้านมีราคาสูงสุด ได้แก่ อำเภอสันทราย ซึ่งขายในราคา 3.012 ล้านบาท เนื่องจากเป็นอำเภอที่มีบ้านเดี่ยวเปิดขายเป็นส่วนใหญ่
“ในช่วงที่ผ่านมาทรัพย์สินที่มีการเปิดเป็นกลุ่มใหญ่ที่สุด ควรมีราคาไม่เกิน 2 ล้านบาท เพราะตลาดเริ่มอิ่มตัว การขายบ้านราคาแพง จะมีคนซื้อจำนวนจำกัด ควรสร้างระดับราคาถูกเป็นหลัก ทั้งนี้ 45% ของสินค้าใหม่มีราคาไม่เกิน 2 ล้านบาท สำหรับในรายละเอียดสินค้าที่ผลิตออกมามาก ได้แก่ บ้านเดี่ยวและบ้านแฝดราคาไม่เกิน 3 ล้านบาท ทาวน์เฮาส์ราคาไม่เกิน 2 ล้านบาท ส่วนอาคารชุดแทบไม่มีการเปิดตัวใหม่ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงภาวะการตึงตัวของตลาด” ดร.โสภณ กล่าว
หากพิจารณาถึงแนวโน้มแล้ว ตลาดที่อยู่อาศัยในเชียงใหม่เริ่มทรงตัว จุดขายด้านรถไฟความเร็วสูง หรืออาจรวมรถไฟรางคู่ในปัจจุบัน ก็ยังไม่ชัดเจนหรือยังใช้เวลาอีกนาน ผู้ประกอบการรายใหญ่ในตลาดหลักทรัพย์ที่ไปจากกรุงเทพฯ ก็ใช่ว่าจะประสบความสำเร็จเสมอไป ผู้ประกอบการท้องถิ่นยังอาศัยต้นทุนที่ดินถูกเข้าสู้ และผนวกกับความเป็นมืออาชีพ ยังสามารถต่อกรกับรายใหญ่ได้ อาคารชุดพักอาศัยก็ชักจะนิ่งเนื่องจากการอิ่มตัวอันเป็นผลจากการขยายตัวของตลาดนับแต่ปี 2552 เป็นต้นมา
นอกจากนี้ผังเมืองยังเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาที่ดินอีกด้วย การลงทุนใหม่จึงควรศึกษาข้อมูลตลาดให้ดีพอ
เรื่องข้างต้นนี้เขียนโดย กาญจนา พาหา บรรณาธิการ DDproperty.com หากมีคำถามเพิ่มเติมสามารถติดต่อได้ที่ kanchana@ddproperty.com
อัพเดทข่าวในแวดวงอสังหาริมทรัพย์ ทางอีเมลส่งตรงจากเว็บไซต์อสังหาฯ อันดับ 1 ของเมืองไทยฟรี สมัครได้ที่นี่