สนทนากับกูรู:เคล็ดลับฉบับเซเลบฯในการหาเรือนหอ

13 ก.พ. 2557

ในเดือนแห่งความรัก ที่กลิ่นอายของความสุขและรอยยิ้มล่องลอยอยู่ทุกแห่งหนเช่นนี้ นับเป็นช่วงเวลาดีที่คู่รักหลายๆ คู่ตัดสินใจก้าวไปสู่อีกขั้นของความสัมพันธ์ด้วยการแต่งงานและใช้ชีวิตคู่ภายใต้ชายคาเดียวกัน  โอกาสดีๆ แบบนี้ DDproperty.com ก็ไม่พลาดที่จะขอเอาใจคนที่หัวใจมีรักด้วยการนำข้อคิดและมุมมองของการใช้ชีวิตคู่ พร้อมทิปส์ในการเลือกหาเรือนหอ จากเซเลบฯ หนุ่มผู้มากความสามารถ ดีกรีปริญญาเอกจาก UCLA (University of California, Los Angeles) และที่สำคัญเพิ่งหันหลังให้กับชีวิตโสดมาเพียงปีกว่าๆ เท่านั้น
 
ช่วงบ่ายวันหนึ่ง เราได้มีโอกาสไปเยี่ยมเยียน “เรือนหอ” หมาดๆ ของดร.โอ๋ หรือ ผศ.ดร.ปรีชาพร สุวัฒโนดม ในย่านสุขุมวิท ที่ต้องบอกว่าหมาดๆ เพราะดร.หนุ่มเพิ่งย้ายเข้ามาอยู่ที่บ้านเดี่ยว 4 ชั้นสีเปลือกไข่ไก่ สไตล์โมเดิร์นแห่งนี้ได้เพียง 6 เดือนเท่านั้นหลังจากที่ดำเนินการเปลี่ยนดีไซน์ปรับโฉมและตกแต่งเป็นเวลาราว 9 เดือน 
 
“ผมใช้เวลาในการหาเรือนหออยู่ประมาณ 2 เดือนได้ผ่านโบรกเกอร์หลายราย  ก่อนหน้านี้ผมอยู่คอนโดฯ ทางน้องอ้อ (ศิรินันท์ ศิริพานิช) ก็พูดกับผมว่า ‘พี่โอ๋ ถ้าเราจะมีครอบครัวเราน่าจะมีบ้านนะ’ เขาเติบโตมาในหมู่บ้านจัดสรร ซึ่งเขาบอกว่าเขาไม่ชอบ เขาขอเป็นบ้านที่อยู่แยกออกมา ในย่านใจกลางสุขุมวิท และอยู่ไม่ไกลจากบ้านของคุณพ่อ-คุณแม่เขา ผมก็เลยตอบโจทย์เขา โดยเลือกมา 10 หลังแล้วก็ไปดูด้วยกันจนเหลือ 3 หลังสุดท้าย หลังจากนั้นก็มาดูว่าหลังไหนเข้ากับงบที่เรามีที่สุด หลังไหนที่พอจะตกแต่งได้ จนมาลงตัวที่บ้านหลังนี้ (ในซอยสุขุมวิท 31)”   
 
“ด้วยความที่ผมเป็นวิศวะ ครั้งแรกที่เห็นบ้านหลังนี้ ผมคิดไว้เลยว่าถ้าผมซื้อ ตรงไหนจะเป็นห้องนอน ตรงไหนคือที่จอดรถ แบบบ้านนี่ยังไม่ได้เขียนเลยนะ แต่คิดไว้ในหัวเสร็จแล้ว เรื่องเงินก็ยังไม่ทันคิดด้วยซ้ำ (หัวเราะ) คิดแค่ว่าอยากจะได้แบบนี้ พอทำจริงขึ้นมางบบานปลาย งานระบบแอร์ ระบบน้ำ ระบบไฟ สายโทรศัพท์  ตอกเสาเข็มใหม่ 12 ตัวต้องทำใหม่หมด ผมเองก็อยากได้โน่น ได้นี่ อยากมีห้องสมุด อยากมีห้องน้ำกลางแจ้ง อยากมีโฮมเธียเตอร์ อยากมีห้องออกกำลังกาย แต่พอมีครบหมดทุกอย่าง  รู้มั้ยว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดที่ผมคิดได้ในตอนนี้คืออะไร บ้านหลังนี้ต่อให้มีครบ ถ้าไม่มีความสุข ก็ไม่มีความหมาย” 
 
มุมพักผ่อนบริเวณชั้นดาดฟ้า ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งมุมไฮไลท์ของบ้าน ดร.โอ๋และคุณอ้อ 
มุมพักผ่อนสุดชิลบริเวณดาดฟ้า ที่ถือเป็นอีกหนึ่งมุมไฮไลท์ของเรือนหอของดร.โอ๋และคุณอ้อ
 
เมื่อพูดถึงตรงนี้ ทำให้เรารู้สึกได้ทันทีว่า ดร.หนุ่มผู้นี้เป็นคนที่ละเอียดอ่อนเรื่องความรักอยู่ไม่น้อย เราจึงถามไถ่ชีวิตหลังแต่งงานที่ผ่านมาเพียงปีกว่าๆ 
 
“ถามว่าชีวิตหลังแต่งงานเหมือนกับตอนก่อนแต่งงานมั้ย…เหมือนกันแต่แตกต่างนะ การที่ชีวิตของคนสองคนที่ต้องมาใช้ชีวิตอยู่ใต้ชายคาเดียวกัน ต่างการเลี้ยงดู ต่างพ่อต่างแม่ ต่างความคิด ต่อให้มีพื้นฐานไลฟ์สไตล์เหมือนกัน พื้นฐานความอบอุ่นเหมือนกัน พื้นฐานที่มีความรักเหมือนกัน ยังไงก็ต้องมีการปรับตัวแน่นอน  พื้นฐานของคนสองคนที่แต่งงานกันต้องมีความรักอยู่แล้ว สำคัญยิ่งกว่าความรักคือความเข้าใจ แต่สำคัญที่สุดคือยังรักกันในขณะที่ไม่เข้าใจ
 
“จากประสบการณ์ที่แต่งงานมาปีกว่า ผมกลายเป็นคนใจเย็นขึ้น กลายเป็นคนคิดก่อนพูดขึ้นเพราะความที่เราติดนิสัยเป็นอาจารย์ เราเป็นเจ้านายคน เราดุว่าลูกน้อง เราก็จะเคยชิน แต่ภรรยาไม่ใช่ลูกน้องเรา ภรรยาไม่ใช่หุ้นส่วนเรา ไม่ใช่เพื่อนร่วมงาน เพราะฉะนั้นเขาจะมีความอ่อนไหว เราต้องรู้จักอดทนและให้อภัย” 
 
“ช่วงแรกๆ ก็อดทนเยอะอยู่เหมือนกัน เพราะคนสมัยนี้ไม่เหมือนคนสมัยคุณพ่อคุณแม่เราที่เขาอยู่กันมา 30-40 ปีจนแก่เฒ่า  ความรักของคนสมัยก่อนกับคนสมัยใหม่ ความอดทนมันไม่เหมือนกัน คนสมัยเก่าเขาสู้ เขาอดทน เขาให้อภัยได้มากกว่าหรือเก่งกว่าคนสมัยใหม่นะผมว่า คนสมัยใหม่มักจะคิดว่าเธอเก่ง ฉันก็เก่ง ฉันมีเงิน เธอก็มีเงิน ฉันมีการศึกษา เธอก็มีการศึกษา ฉันเพื่อนเยอะ เธอก็เพื่อนเยอะ ที่สำคัญคนสมัยใหม่มักจะอารมณ์ร้อนมากกว่าคนสมัยเก่า เพราะฉะนั้น ถ้าคนสมัยใหม่นำประสบการณ์ของคนสมัยเก่ามาปรับใช้กับชีวิตคู่ในปัจจุบัน สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือความอดทนและให้อภัย  นี่คือข้อแตกต่างสำหรับผมเลย ผมกลายเป็นคนอยู่กับครอบครัวมากขึ้น ภรรยาผมพูดกับผมว่า ‘ใครๆ ก็รู้ว่าพี่โอ๋เป็นคนที่ทำแต่งาน อาทิตย์ละ 7 วัน สู้มาก สร้างทุกอย่างด้วยตัวเอง ตั้งใจเรียนจนได้รางวัลต่างๆ นานา ดาวน่ะมันมีหลายดวง เราจะคว้าดวงไหนก็ได้ แต่อยู่ที่ว่าดวงไหนจะอยู่คนเดียวหรือดวงไหนจะมีคู่ชีวิตอยู่ด้วย’ หลังจากประโยคนั้น มันทำให้ผมเปลี่ยนแนวคิดไปเยอะ ตอนนี้ผมทำงานเหลือแค่ 5 วันครึ่ง วันอาทิตย์ก็เป็นวันของครอบครัว”

สระว่ายน้ำระบบน้ำเกลือ บริเวณชั้น 1 ซึ่งเป็นมุมโปรดของดร.โอ๋

สระว่ายน้ำระบบน้ำเกลือ บริเวณชั้น 1 ซึ่งเป็นมุมโปรดของดร.โอ๋ 
“ด้วยความที่ใช้ชีวิตอยู่ในอเมริกามานานหลายปี เมื่อก่อนผมจะทำอะไรรวดเร็ว ปุ๊บปั๊บ คิดแล้วทำเลย แต่เดี๋ยวนี้ต้องระลึกเสมอว่ามีสองคนแล้ว ไปไหนไปด้วยกัน เวลาผมไปเจอเพื่อนผมก็จะพาเขาไปด้วย เวลาเขาไปเจอเพื่อเขา เขาก็พาเราไปด้วย หรือไม่เราก็ชวนเพื่อนมาที่บ้าน การแต่งงานสำหรับผมมันไม่ใช่การแต่งกันแค่สองคน ต้องมีคุณพ่อ-คุณแม่ของภรรยาเราด้วย เราอยากให้ภรรยาเรารักพ่อ-แม่เรา เราก็ต้องรักพ่อ-แม่เขาเหมือนที่เรารักพ่อ-แม่ตัวเราเอง ความรักจะได้เต็มแก้ว” 
 
แต่การใช้ชีวิตคู่ ก็ไม่ใช่เรื่องของความเป็นเหตุเป็นผลเสมอไป ดร.โอ๋ยอมรับว่าก็มีบางเวลาที่จะมีความเห็นต่างกันบ้าง 
 
“ทุกๆ คู่ต้องเคยมีทะเลาะกันบ้างอยู่แล้วแหละ แต่สิ่งที่ผมคิดได้หลังจากทะเลากันมาแล้วหลายครั้งก็คือ ถ้าทะเลาะกันไปแล้วพรุ่งนี้ก็ดีกัน จะทะเลาะกันไปให้เสียความรู้สึกวันนี้ทำไม  จริงอยู่ที่มนุษย์ไม่ใช่พระอิฐพระปูน ย่อมต้องมีการทะเลาะกันอยู่แล้วแต่สิ่งที่เราสามารถควบคุมได้คือเราจะควบคุมจิตใจและอารมณ์ช่วงที่เราโกรธได้อย่างไร ผมมีกฎครอบครัวว่าถ้างอนกัน โกรธกันต้องอย่าเกิน 1 ชั่วโมง ใครผิดให้ขอโทษ แต่ถ้าต่างคนต่างคิดว่าไม่ผิด ก็ให้คิดว่าโกรธกันไปทำไมเดี๋ยวก็ดีกัน ผมก็จะไปง้อเขาก่อน ภรรยาผมเป็นคนที่ละเอียดอ่อน ส่วนผมเป็นคนที่หนึ่งบวกหนึ่งเท่ากับสอง  ผมจึงเลือกที่จะลดความเป็นเหตุเป็นผลลงและเอาความรู้สึกของภรรยาผมเข้ามาด้วย หนึ่งบวกหนึ่งจึงไม่เท่ากับสองเสมอไป”
 
“การเป็นสามี-ภรรยาก็เหมือนเป็นทีมเดียวกัน ไม่ใช่ว่าใครง้อก่อนแล้วคนนั้นจะแพ้ คำว่า ‘ขอโทษ’ จริงๆ แล้ว ผมว่าเป็นคำพูดที่เท่ห์ที่สุดในโลกเลยนะ”
 
คุณอ้อ-ดร.โอ๋ 
 
สำหรับคนที่กำลังมองหาเรือนหอ ดร.โอ๋บอกว่าเคล็ดที่ไม่ลับก็คือ คนสองคนต้องคุยกัน เพื่อดูว่าความต้องการของทั้งคู่คืออะไร  
 
“คู่บางคู่นิยมอยู่คอนโดฯ เพราะไม่ต้องมานั่งปวดหัวกับเรื่องสวน เรื่องแม่บ้าน เรื่องแมลง เรื่องสระว่ายน้ำ ฯลฯ  แล้วแต่คอนเซ็ปต์ของแต่ละคนแต่ละคู่ แต่หากมีใครมาปรึกษาผม ผมจะตอบเลยว่าเรือนหอก็คือบ้านที่คุณอยู่ด้วยกันแล้วมีความสุข” ดร.หนุ่มกล่าวทิ้งท้าย
 
เรื่องข้างต้นนี้เขียนโดย กาญจนา พาหา บรรณาธิการ DDproperty.com หากมีคำถามเพิ่มเติมสามารถติดต่อได้ที่ kanchana@ddproperty.com      
 
อัพเดทข่าวในแวดวงอสังหาริมทรัพย์ ทางอีเมลส่งตรงจากเว็บไซต์อสังหาฯ อันดับ 1 ของเมืองไทยฟรี สมัครได้ที่นี่  
 
เรื่องอื่นที่น่าสนใจ  
เขียนความเห็น