ทริปทะเลใต้ขนาดสั้นของเรากำลังจะจบสิ้นด้วยการกลับมาที่จุดตั้งต้นที่ภุเก็ตอีกครั้งเพื่อขึ้นเครื่องบินกลับกรุงเทพฯ น่าตลกที่พวกเราเป็นก๊วนที่ค่อนข้างชีพจรลงเท้า วันสุดท้ายที่คิดว่าจะพักผ่อนอย่างสโลว์ไลฟ์ในที่พักจึงเป็นอันเลิกคิด แต่จะไปไหนไกลก็ไม่ได้ ภูเก็ตเป็นเมืองใหญ่มีที่เที่ยวเยอะก็จริง แต่เวลานี้กลับไม่มีใครนึกอะไรที่เข้าท่าออกสักอย่าง ถึงอย่างนั้นพวกเราก็เช็คเอาท์ออกจากโรงแรมแล้วขับรถไปเรื่อยๆ ตามถนน ชนิดที่ว่าไปเจออะไรน่าสนใจก็แวะดูเป็นจุดๆ ไป
หลังจากไปวนเก็บบรรยากาศที่วงเวียนหอนาฬิกาแล้วก็บ่ายหน้าเข้าไปที่ถนนมนตรี ซึ่งเป็นที่ตั้งของโรงแรมเก่าแก่สองแห่งคือโรงแรมเพิร์ลและโรงแรมเมโทรโพล มุ่งหน้าไปยังสี่แยกถนนมนตรีตัดกับถนนพังงา ที่หัวมุมซ้ายมือนั้นเองเราพบกับ “ภูเก็ต ทริคอาย มิวเซียม” (Phuket Trickeye Museum) อาคารสองชั้นที่ดัดแปลงมาจากโรงภาพยนตร์เก่า ถึงจุดนี้เพื่อนบางคนหันหน้ามามองแบบมีคำถามเมื่อเราแวะจอดรถเข้าข้างทางว่าเราคิดจะแวะที่นี่จริงๆ หรือ เพราะไม่ค่อยชอบเที่ยวพิพิธภัณฑ์สักเท่าไร
แต่บางคนที่เคยได้ยินชื่อของที่นี่มาบ้างก็แอบอมยิ้มเล็กน้อยทำนอง เข้าไปเถอะน่าเดี๋ยวก็รู้ เพราะที่นี่ไม่ใช่พิพิธภัณฑ์ที่มีบรรยากาศเคร่งขรึม เต็มไปด้วยคำบรรยาย คำอธิบาย และข้อห้าม ข้อบังคับต่างๆ อย่างห้ามถ่ายรูป ห้ามแตะต้องสิ่งของ แบบที่หลายๆ คนคุ้นเคยกัน แต่ที่นี่ท้าให้คุณถ่ายรูปมากเท่าที่พอใจจะถ่าย และเข้าไปสัมผัสกับงานศิลปะอย่างใกล้ชิดแบบไม่กลัวของจะเสีย เพราะที่นี่คือพิพิธภัณฑ์จิตรกรรมภาพวาด 3 มิติจากการรังสรรค์โดยจิตรกรเกาหลีกว่า 20 คน เพียงแห่งเดียวในภาคใต้เชียวนะ แต่ละภาพจะประกอบด้วยเทคนิคด้านมิติที่จะลวงตาและน่าทึ่ง โดยความอัศจรรย์และน่าตื่นตาจะเกิดขึ้นเมื่อเราก้าวเข้าไปเป็นองค์ประกอบหนึ่งของรูปภาพ แค่ฟังเจ้าหน้าที่อธิบายก็น่าสนใจจนอยากจะเข้าไปชมด้านในแล้ว
ไม่รอช้าพวกเรารีบต่อแถวซื้อบัตรเข้าชมกันโดยพลัน ราคาบัตรสำหรับผู้ใหญ่นั้น 250 บาท ส่วนเด็ก 150 บาท และเด็กเล็กสูงไม่เกิน 130 เซนติเมตรก็เข้าชมกันฟรีๆ เลย เปิดให้ชมกันตั้งแต่ 9 โมงเช้าไปจนถึง 3 ทุ่ม แต่รอบสุดท้ายที่ให้เข้าชมคือก่อน 2 ทุ่มนะ เผื่อเวลาเยอะๆ ก็ดีเพราะมีหลายมุมให้เก็บภาพกันเพลินจนลืมเวลาทีเดียวล่ะ
เมื่อผ่านประตูเข้าไปด้านในจะพบว่าพื้นที่ข้างในนั้นแบ่งออกเป็น 2 ชั้นประกอบไปด้วย 5 โซนด้วยกัน มีจุดให้หยิบกล้องขึ้นมาถ่ายภาพได้ตั้งแต่ก้าวแรกเลย ชั้นล่างเราจะพบกับรูปภาพที่เน้นการผจญภัย ที่ใครๆ ก็อดใจไม่ไหวต้องขยับร่างกายเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของภาพและบันทึกภาพไว้เป็นที่ระลึก
อย่างโซน Hilight ที่น่าตื่นตาตื่นใจเพราะจำลองส่วนหนึ่งของน้ำตกทีลอซูอันยิ่งใหญ่มาไว้ที่นี่ กับสะพานไม้ข้ามแม่น้ำที่ขาดออกจากกัน ทำให้พวกเราที่อยู่คนละฝั่งต้องเอื้อมมือไปดึงกันแขนกันไว้ด้วยสีหน้าหวาดกลัวว่าจะตกลงไปเบื้องล่าง
ถัดมาคือโซน Body Move ที่ให้เราเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของสิ่งประดิษฐ์ต่างๆ ซึ่งในชีวิตจริงคงไม่มีโอกาสเกิดขึ้นง่ายๆ
ถ้าหากเหนื่อยกับแอ๊คชั่นถ่ายรูปที่ชั้นล่างกันแล้ว ขึ้นบันไดไปโพสท์ท่าถ่ายรูปกันแบบสบายๆ ที่ชั้นสองดีกว่า เพราะบนชั้นนี้เราจะได้พบกับโซนภาพวาดอีกถึง 3 โซนด้วยกัน
โซน Classic In Flame นั้นเรียกรอยยิ้มจากทุกคน เพราะนำภาพวาดจากจิตรกรชื่อดังที่เราพอคุ้นเคยมาล้อเลียนกันอย่างสนุกสนาน ในกรอบรูปแบบ 3 มิติ ตามมาด้วยอีกโซนที่ปลุกจินตนาการของเราให้โลดแล่นที่โซน U Variety ซึ่งรวบรวมฉากเด็ด หลากหลายอารมณ์ ทั้งความสนุกสนาน แปลกตาเอามาไว้ด้วยกัน และโซนสุดท้ายปิดท้ายทริปก็ส่งท้ายกันไปด้วยความรู้สึกเหมือนหลงเข้าไปอยู่ในยุคดึกดำบรรพ์เพราะรวมภาพโบราณเอาไว้มากมายที่โซน Ancient time
เวลาที่มีความสุขช่างแสนสั้นนัก เมื่อเราออกมาจากภูเก็ต ทริคอาย มิวเซียม ก็เหลือเวลาอีกไม่มากนัก แวะหามื้อเที่ยงอร่อยๆ กันก่อนที่จะมุ่งหน้าไปยังสนามบิน ตลอดเวลาหลายคนยังคงไล่ดูรูปภาพที่เราไปถ่ายกันแล้วก็หัวเราะอย่างตลกขบขันกับท่าทางประหลาดๆ ของแต่ละคน และหลังจากกลับถึงที่ทำงานบอร์ดเหนือโต๊ะของเราก็มีรูปทั้งทะเล้น ทั้งน่ารักติดเต็มไปหมดไว้ให้นึกถึงช่วงเวลาแสนสนุก
ใครที่สนใจจะไปเที่ยวที่ภูเก็ต ทริคอาย มิวเซียม สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.phukettrickeyemuseum.com
ภาพหลัก via facebook.com/PhuketTrickeyeMuseum
เรื่องข้างต้นนี้เขียนโดย เชษฐพล มานิตย์ นักเขียนออนไลน์ประจำ DDproperty.com หากมีคำถามเพิ่มเติมสามารถติดต่อได้ที่ chetapol@ddproperty.com
อัพเดทข่าวในแวดวงอสังหาริมทรัพย์ ทางอีเมลส่งตรงจากเว็บไซต์อสังหาฯ อันดับ 1 ของเมืองไทยฟรี สมัครได้ที่นี่