นักวิเคราะห์มองนโยบายภาษีที่ดินจะส่งผลกระทบต่อภาคที่อยู่อาศัยน้อยมาก ในขณะที่กลุ่มนิคมอุตสาหกรรมซึ่งมีที่ดินรอพัฒนาอยู่มากอาจโดนหางเลขเยอะสุด
จากการวิเคราะห์ถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับภาคธุรกิจอสังหาริมทรัพย์หากรัฐบาลมีการประกาศใช้นโยบายภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างนั้น ฝ่ายวิเคราะห์การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์ เคเคเทรด จำกัดมองว่าผลกระทบที่เกิดขึ้นของกลุ่มที่อยู่อาศัย และกลุ่มนิคมอุตสาหกรรมอาจจะยังไม่มีผลกระทบมากนัก เนื่องจากกฎหมายดังกล่าวต้องใช้เวลาในการพิจารณารายละเอียด ผลกระทบที่เกิดขึ้นในเชิงธุรกิจ/ การค้า ก่อนออกออกมาเป็นกฎหมายลูก โดยคาดว่าจะใช้เวลาไม่น้อยกว่า 3-6 เดือน ซึ่งกรอบเวลาดังกล่าวจะช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถปรับตัวรองรับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นได้ อาทิ การเพิ่มราคาขาย ขณะเดียวกันมีปัจจัยบวกกรณีผู้ถือครองที่ดินไม่สามารถสะสมที่ดินไว้ในจำนวนมากเนื่องจากภาระภาษีที่ต้องรับผิดชอบเพิ่ม ส่งผลต่อแนวโน้มราคาที่ดินลดลง เนื่องจากมีสินค้าในตลาดเพิ่มมากขึ้น
สำหรับเงื่อนไขในการจัดเก็บภาษีที่ดินในอัตราใหม่มี 4 ประเภท ได้แก่ (1) อัตราทั่วไปสำหรับที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง ไม่เกิน 0.50 % (2) อัตราภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างสำหรับที่อยู่อาศัยไม่ประกอบเชิงพาณิฃย์ไม่เกิน 0.10 % (3) อัตราภาษีสำหรับที่ดินที่ใช้ประกอบพื้นที่เกษตรกรรมไม่เกิน 0.05% และ (4) สำหรับที่ดินทิ้งไว้ว่างเปล่าหรือไม่ได้ทำประโยชน์ตามควร 3 ปีแรกเสียภาษีไม่ต่ำกว่าภาษีทั่วไป ไม่เกิน 0.5 % และหากยังมิได้ทำประโยชน์เสียเพิ่มขึ้น อีก 1 เท่าในทุกๆ 3 ปี แต่ไม่เกิน 2 % ของฐานภาษี
“หลังจากใช้สมมุติฐานนำต้นทุนที่ดินที่อยู่ระหว่างการพัฒนาเพื่อพัฒนาเป็นโครงการใหม่และสินค้ารอการขาย จาก 8 บริษัทที่มีที่ดินอยู่ระหว่างการรอการพัฒนา 25,000 ล้านบาท และมูลค่าที่ดินพัฒนาโครงการรอการขายราว 250,000 ล้านบาท มีผลต่อค่าใช้จ่ายจากภาษีที่เพิ่มขึ้น และมีผลกระทบต่อกำไรสุทธิลดลงราว 3.6% โดยบริษัทที่มีผลกระทบลดลงมากสุดคือ เอพี ไทยแลนด์ และแสนสิริ โดยลดลงมากกว่าค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 6%” บทวิเคราะห์กล่าว
ในขณะที่กลุ่มนิคมอุตสาหกรรมจะเป็นกลุ่มที่น่าจะได้รับผลกระทบมากกว่าบริษัทผู้พัฒนาโครงการ โดยจาก 3 บริษัทที่นำมาประเมินการได้แก่ นิคมอุตฯ อมตะ, นิคมอุตฯ โรจนะ และนิคมอุตฯ เหมราช ซึ่งมีที่ดินอยู่ระหว่างการพัฒนาและรอการขายของกลุ่มโดยรวม 23,000 ล้านบาท ซึ่งมีผลกระทบต่อกำไรสุทธิ โดยเฉลี่ยของกลุ่มราว 4.5%
กลุ่มอมตะคาดว่าจะได้รับผลกระทบมากสุดโดยมีกำไรสุทธิลดลง 7 % เนื่องจากรายได้หลักมาจากการขายที่ดินและมีพื้นที่รอการขายสูงกว่ากลุ่มอื่นๆ
อัพเดทข่าวในแวดวงอสังหาริมทรัพย์ ทางอีเมลส่งตรงจากเว็บไซต์อสังหาฯ อันดับ 1 ของเมืองไทยฟรี สมัครได้ที่นี่
เรื่องข้างต้นนี้เขียนโดย กาญจนา พาหา บรรณาธิการ DDproperty.com หากมีคำถามเพิ่มเติมสามารถติดต่อได้ที่ kanchana@ddproperty.com