มาดูกันว่าตลอดปีที่ผ่านมามีเหตุการณ์อะไรในโลกที่นับว่าซุปเปอร์บิ๊กสร้างผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกเป็นอย่างมาก DDproperty สรุปแต่ละประเด็นมาให้ดูกัน
1. เศรษฐกิจจีนสร้างพิษไปทั่วโลก
นับจากปี 1990 เป็นต้นมาจีนจัดเป็นประเทศที่อยู่ในกลุ่มประเทศที่มีอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจหรือจีดีพีเร็วที่สุดในโลกนั่นคือ 10%+ มาเกือบตลอดแต่ในช่วง 5 ปีล่าสุดความรุ่งโรจน์เริ่มจะถดถอยลงโดยมาจากการที่รัฐบาลมีนโยบายที่ต้องการเปลี่ยนสภาพเศรษฐกิจจีนให้อยู่ในรูปแบบที่ยั่งยืนนั่นคือย้ายจากประเทศที่เน้นเศรษฐกิจอุตสาหกรรมไปยังภาคเทคโนโลยีและการลงทุน แต่ดูเหมือนว่าเส้นทางจะไม่ได้โรยโดยกลีบกุหลาบ
ในช่วงสองปีที่ผ่านมารัฐบาลจีนใช้อำนาจในการควบคุมสื่อออกแคมเปญให้ประชาชนตั้งแต่เด็กไปยังตาสีตาสาหันมาลงทุนในตลาดหุ้นของจีน (Shanghai Index) จากเดิมที่เลือกลงทุนในภาคอสังหาฯในปริมาณมากจนรัฐบาลเกรงว่าฟองสบู่อาจจะแตก แต่เนื่องด้วยภาคประชากรส่วนใหญ่ยังด้อยการศึกษามีเงินก็เอาไปใส่ในตลาดหุ้นจนทำให้ราคาหุ้นถูกปั่นสูงขึ้นทั้งที่ไม่ได้สอดคล้องกับผลประกอบการและสภาพคล่องทางการเงินของบริษัทต่างๆที่จดทะเบียนส่งผลให้ดัชนีใหญ่เซี่ยงไฮ้ไปแตะอยู่ที่ 5,000+ จุด ณ ช่วงหนึ่งซึ่งนับเป็นเกือบ 100% จากช่วงปี 2014 เมื่อมูลค่ามันเกินจริงเสียขนาดนี้ส่งผลให้เกิดอาการบวมของฟองสบู่คล้ายกับฟองสบู่อสังหาฯเมื่อ 2008 ของสหรัฐ จนในที่สุดตลาดหุ้นก็ฟองสบู่แตกโดยตลาดร่วงหล่นมาอยู่ที่ 2,700 จุดเพียงช่วงข้ามวัน ใครชักเงินออกไม่ทันก็ปวดร้าวไปตามๆกัน รัฐบาลไม่นิ่งเฉยนำเงินคลังเข้าไปพะยุงตลาดเพื่อป้องกันการร่วงหล่นไปอีกแต่ดูเหมือนว่าไม่ค่อยจะประสบผลเท่าไรนัก อีกทั้งยังออกมาตรการห้ามทำ short-selling คือซื้อเก็งกำไรและขายทิ้งในระยะสั้นและห้ามขายหุ้นที่ถือครองอยู่ ณ ช่วงหนึ่ง นักลงทุนรายใหญ่ต่างพากันนำเงินออกนอกประเทศด้วยวิธีการย้ายเงินต่างๆเพื่อหลบเลี่ยงโควต้าห้ามนำเงินออกนอกประเทศมากกว่า 50,000 ดอลลาร์สหรัฐต่อปี โดยจำนวนเงินที่ไหลออกจากจีนนั้นมากกว่า 5 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ
2. โภคภัณฑ์ … ลาก่อน
เมื่อสภาพเศรษฐกิจจีนไม่ดีเสียขนาดนี้จากที่เคยเบสฐานธุรกิจภาคอุตสาหกรรมนำเข้าสินค้าโภคภัณฑ์ต่างๆอาทิเช่น ทองแดง, อะลูมิเนียม และเหล็กจากประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่อย่างอินโดนีเซีย, มาเลเซีย และแน่นอนประเทศไทยเองก็โดน จีนได้เพิ่มมาตรการสุดโหดโดยปรับลดค่าเงินของตัวเองเพื่อโปรโมทภาคส่งออกและลดปริมาณการนำเข้าจากประเทศกลุ่มนี้ลง ดังนั้นเมื่อล้มกันเป็นโดมิโนขนาดนี้นักลงทุนจึงพากันย้ายเงินออกจากกลุ่มประเทศทางตะวันออกเฉียงใต้นั่นเป็นสาเหตุที่ว่าทำมายเศรษฐกิจบ้านเรามันจึงไม่ดี โดยจำนวนเงินตัวเลขคร่าวๆในเรื่องการไหลออกของภาคต่างชาติในประเทศไทยสูงถึง 156,000 ล้านบาท
3. น้ำมันจ๋ากลับมาได้มั้ย
เด็กๆเราเคยมีความคิดว่าน้ำมันมันจะหมดโลกไหมหนอ แต่ปรากฏกลายเป็นว่า ณ ปัจจุบันน้ำมันมันล้นโลก (supply glut) โดยกลุ่มผู้ผลิตใหญ่อย่าง OPEC ยังไม่ยอมลดเพดานการผลิตอีกทั้งอิหร่านที่สลัดมาตรการคว่ำบาตรส่งออกน้ำมันหลุดทำให้แนวโน้ม production ในเรื่องน้ำมันจะสูงขึ้นเรื่อยๆยิ่งจะทำให้ราคาตกลง (ซัพพลายมากกว่าดีมานด์) ราคาน้ำมันลงนับเป็นข่าวดีต่อผู้บริโภคอย่างเรา (ราคาน้ำมันไหลหล่นจาก 100 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาเรลล์มาแตะที่ประมาณ 35 – 40 ต่อบาเรล) แต่ไม่ใช่เรื่องดีสำหรับผู้ผลิตแน่นอนอย่าง Shell, ExxonMobil ซึ่งปลดพนักงานเป็นว่าเล่นในช่วงที่ผ่านมา
4. ลุงแซมหยุดแจกเงิน
ในที่สุดธนาคารกลางสหรัฐ FED ได้ปรับอัตราดอกเบี้ยจาก 0.25% ไปยัง 0.50% นั่นคือประเทศที่เป็นลูกหนี้จะต้องคืนเงินให้สหรัฐเพิ่มขึ้นนั่นเอง ประเทศที่เจ็บหนักเห็นทีจะไม่พ้นกลุ่มทางฝั่งอเมริกาให้อย่างบราซิล, อาร์เจนตินา ที่ยืมสหรัฐอย่างจัดหนัก ไอ้ตอนยืมน่ะยืมมาถูกแต่เวลาคืนเขานะคืนแพง ส่งผลให้มีแนวโน้มว่าประเทศกลุ่มนี้จะเข้าสู่สภาพเศรษฐกิจถดถอย (recession)
ในขณะที่ธนาคารกลางลุงแซมเพิ่มดอกเบี้ย แต่ธนาคารกลางยุโรป (European Central Bank) และธนาคารกลางญี่ปุ่น (Bank of Japan) เศรษฐกิจยังคงไม่ดีนักทำให้ไม่สามารถปรับดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นได้และมีแนวโน้มว่าอาจจะปรับค่าเงินตัวเองให้อ่อนลงเพื่อส่งเสริมภาคส่งออกแข่งขันกับจีนที่ทำร้ายเพื่อนด้วยการลดค่าเงินหยวนตัวเอง
5. Volkswagen ยอมรับแต่โดยดี
ใครจะไปคิดว่าบริษัทส่งออกรถยนต์ยักษ์ใหญ่ที่มียอดขายมากที่สุดในโลกอย่าง Volkswagen จะโกงในเรื่องค่าปล่อยมลพิษเกินค่ามาตรฐานมากกว่า 10 เท่า โดยออกแบบตัวชิพคอมพิวเตอร์ให้บอกกับผู้ตรวจว่าฉันน่ะคงคอนเซ็ปรถกรีนนะ แต่องค์กรด้านสิ่งแวดล้อมอย่าง EPA (The Environmental Protection Agency) ไม่หลงกลออกมาเปิดโปงพฤติกรรมฉาวนี้ จากเหตุการณ์นี้ส่งผลให้มูลค่าหุ้นบริษัทลดลงกว่า 30% ซึ่งแน่นอนเยอรมัณและยุโรปรับชะตาเต็มๆ
6. รถที่ไม่ต้องมีคนขับ
เป็นกระแสแรงมากในเรื่องรถที่สามารถควบคุมและวิ่งได้เอง (driverless cars) และถึงกับตัดสินใจเองเมื่ออยู่บนท้องถนนได้ โดยในกลุ่มผู้พัฒนาต่างเป็นยักษ์ใหญ่ในด้านเทคโนโลยีอย่าง Google, Alibaba และ Baidu ส่วนบริษัทที่เริ่มทำสำเร็จได้ส่วนหนึ่งโดยพัฒนาให้รถสามารถเปลี่ยนเลนได้เองและเบรคได้เองโดยอ่านจากค่าต่างๆบนท้องถนนคือ Tesla ของ Elon Musk นั่นเอง โดยการคาดการณ์ของเหล่า experts กล่าวว่ารถตามท้องถนนเริ่มจะวิ่งเองได้บางส่วนภายในปี 2025
7. Apple Watch
เขย่าวงการนาฬิกาและ gears จากโจทย์อย่าง Samsung โดย Apple ได้ออกโปรดัคใหม่อย่าง Apple Watch เพื่อมาเซอร์ไพรส์ตลาดสายข้อมือฟิตเนสและแกตเจ็ตสวมใส่ต่างๆ โดยราคาเริ่มตั้งแต่ 12,000++ ไปจนถึง 300,000++ คำถามคือ เป็นคุณๆจะซื้อไหม? อย่างไรก็ตามแอปเปิลยังคงไม่แถลงตัวเลขจำนวนนาฬิกาที่จำหน่ายได้แต่นักวิเคราะห์จาก Wall Street ประมาณไว้ว่าแอปเปิลน่าจะจำหน่ายได้ประมาณ 4 ล้านเรือนนับตั้งแต่เปิดตัวมา
8. Takata แอร์แบ็ค บอมบ์ที่ติดมากับรถ
บริษัทผลิต air bags ยักษ์ใหญ่จากญี่ปุ่น ทาคาตะ ออกมายอมรับต่อสาธารณะโลกว่าอุปกรณ์ของตนมีโอกาสที่จะระเบิดเองได้โดยความเสียหายที่เกิดขึ้นคือ 8 ผู้เสียชีวิตและผู้บาดเจ็บกว่าร้อยจากแอร์แบ็คมรณะนี้
ทาคาตะจ่ายค่าเสียหายที่เกิดขึ้นนี้เป็นจำนวนกว่า 70 ล้านเหรียญสหรัฐและบอกว่าตนจะเลิกผลิตแอร์แบ็คที่มีส่วนผสมของแอมโมเนียมไนเตรทซึ่งเป็นสารที่ต้องสงสัยว่าเป็นสาเหตุของการระเบิด บริษัทอย่าง Ford, Honda, Toyota และ Nissan ผู้เรียกใช้บริการจากทาคาตะต่างพากันเรียกรถคืนเพื่อป้องกันความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นและจ่ายค่าเสียหายให้กับเจ้าของรถ
เป็นอย่างไรบ้างครับเรื่องเหล่านี้ใหญ่พอไหมสำหรับคุณมาคอยติดตามกันว่าจะเกิดเหตุการณ์อะไรบิ๊กๆในปี 2016 และขอภาวนาให้มันช่วยส่งผลดีต่อบ้านเรา “อนาคตเราไม่สามารถทำนายได้แต่เราสามารถป้องกันตัวเองจากวินาศภัยในอนาคตได้โดยการหมั่นศึกษาและรอบคอบอยู่เสมอ” คำแนะนำจาก Nassim Taleb ที่คอยพูดเตือน IMF (International Monetary Fund)
เรื่องข้างต้นนี้เขียนโดย ชัยสิทธิ์ บุนนาค Content Writer ประจำ DDproperty.com หากมีคำถามเพิ่มเติมสามารถติดต่อได้ที่ chaiyasit@ddproperty.com
บทความเกี่ยวข้อง: