สิ่งที่เกิดขึ้นกับอสังหาฯไทยหลังFEDขึ้นดอกเบี้ย

chaiyasit bunnag18 ธ.ค. 2558

เมื่อค่ำคืนวันพุธ (16 ธ.ค.) ที่ผ่านมาได้มีการประชุมของ FOMC (Federal Open Market Committee) หรือเรารู้จักกันในนาม FED หรือธนาคารกลางสหรัฐ ซึ่งในที่สุดประธาน Janet Yellen ก็ออกมาประกาศมติจากการประชุมในวันนั้นว่าเราจะ ขึ้นดอกเบี้ย!! แล้วไอ้ดอกเบี้ยที่ปรับขึ้นมานี่มันปรับเยอะไหมและส่งผลอย่างไรกับคนหาเช้ากินค่ำอย่างเราๆ (อีกแล้ว) วันนี้ DDproperty มีคำตอบ
ดอกเบี้ยที่ FED ปรับขึ้นในครั้งนี้อยู่ในระดับที่ไม่วูบวาบ โดยปรับขึ้นเพียง 0.25% (dot plot) เพื่อไม่ให้ตลาดโลกอกสั่นขวันแขวนกันมากนัก แต่ก็จะค่อยๆ ทยอยปรับขึ้นเรื่อยๆ ตามโอกาสที่เหมาะสม หลายคนที่ตามข่าวอาจจะสงสัยว่าเมื่อตอนปี 2008 มีการปรับลดดอกเบี้ย แล้วทำไมตอนนี้ถึงมาขึ้น เราไปดูเรื่องราวของโศกนาฏกรรมทางการเงินในครั้งนี้กัน

Janet Yellen

Janet Yellen

มิถุนายน 2006 ถือเป็นครั้งสุดท้ายที่ FED ปรับดอกเบี้ยขึ้น ซึ่ง ณ ตอนนั้นเกิดปัญหาโดยมีปัจจัยเรื่อง Sub-prime loan ที่สถาบันการเงินต่างพากันอนุมัติสินเชื่อบ้านให้กับประชาชนตามนโยบายของรัฐบาลแดนมะกันที่ต้องการสนับสนุนให้ประชากรมีที่อยู่อาศัย ทำให้คนแห่กันไปซื้อบ้านเพราะเชื่อว่าราคาอสังหาริมทรัพย์จะสูงขึ้นในอนาคต (สถานการณ์ที่ดูแล้วคุ้นๆ กลายเป็นดีมานด์ที่ถูกอัดฟองจนโป่งพร้อมจะแตก และแล้วเมื่อภาวะหนี้ครัวเรือนพุ่งสูงชาวบ้านชาวเมืองก็แห่กันเทขายอสังหาฯ ส่งผลให้ราคามันทิ้งดิ่งลง (สินค้าไหนที่ถูกขายทิ้งเป็นปริมาณมาก = ราคาจะตก)

แล้วแบงก์ล่ะ? หลังจากปล่อยกู้แบบใครมาป๋าจัดให้ก็ต้องเจ็บตัวโดยการต้องปล่อยของราคาถูกในขณะที่ปล่อยกู้ให้คนไปซื้อของราคาแพง อีกทั้งการไม่เตรียมสภาพคล่องเงินสดหรือคลังเงินสด (adequate capital holdings) ให้พร้อมทำให้รัฐบาลต้องนำเงินคลังเข้าไปช่วยเหลือชนิดไม่จำกัด (unwavering support) เพื่อป้องกันการล้มแบบโดมิโนของสถาบันการเงินทั้งเล็กและใหญ่ภายในประเทศก่อให้เกิดวิกฤติทางเศรษฐกิจเมื่อ 2008 ดังนั้น ธนาคารกลางสหรัฐจึงต้องปรับลดดอกเบี้ยอย่างหนักให้เข้าใกล้เลขอัตราศูนย์ (near-zero rate) เพื่อให้แบงก์สามารถเรียกเก็บชำระหนี้ได้มากขึ้น

ปัจจุบัน
เมื่อตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐดีขึ้น อัตราว่างงานลดลง พร้อมกับอัตราค่าจ้างที่ค่อยๆ เพิ่มขึ้น (wage growth) ประธาน FED กับผองเพื่อนใน FOMC จึงเริ่มคิดจะขึ้นดอกเบี้ยตั้งแต่ช่วงปลายปีที่แล้ว จนในที่สุดตัดสินใจขึ้นดอกเบี้ยเมื่อคืนวันพุธที่ผ่านมา การขึ้นดอกเบี้ยครั้งนี้ส่งผลให้เงินดอลลาร์แข็งขึ้นเพราะหนี้ส่วนใหญ่ที่เกิดขึ้นบนโลกมีสกุลเงินอ้างอิงคือดอลลาร์สหรัฐ ส่งผลให้ประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่ต่างต้องจ่ายดอกเบี้ยหนี้ที่ยืมมาในอัตราที่มากขึ้น
เมื่อเป็นเช่นนี้นักลงทุนรายใหญ่ๆ ทั้งจากสถาบันในประเทศนั้นๆ หรือต่างประเทศ ต่างนำเงินออกจากประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่เหล่านี้เพื่อนำไปสร้างกำไรกับประเทศที่มีความชัดเจนทางเศรษฐกิจอย่างสหรัฐ
หลังจากประกาศการขึ้นดอกเบี้ย ประเทศไทยเราก็เป็นอีกหนึ่งผู้เคราะห์ร้ายที่นักลงทุนทิ้งกันอย่างไร้เยื่อใยเพื่อไปหาแหล่งทำกำไรใหม่ที่ปลอดภัยกว่า โดยเงินกว่าแสนล้านบาทจากภาคต่างประเทศไหลออกจากไทยไปในปี 2015 และมีแนวโน้มว่าจะไหลออกต่อไปเรื่อยๆ ในปี 2016 รอจนกว่านักลงทุนเหล่านั้นตักตวงผลกำไรจากสหรัฐจนถึงภาวะเสี่ยง หลังจากนั้นย้ายเงินออกมายังตลาดเกิดใหม่อย่างบ้านเราอีกครั้งหนึ่งเพื่อสร้างมูลค่าทางของตลาดหุ้น (market capitalization) บ้านเราให้ค่อยๆกลับมาดีขึ้น

แล้วภาคอสังหาฯ ล่ะ?
ไม่ต้องกลัว อัตราดอกเบี้ยธนาคารกับสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยนั้นเป็นคนละส่วนกัน ซึ่งส่วนหลังจะยังคงไม่เปลี่ยนแปลงทั้งในสหรัฐและประเทศไทยเอง โดยอัตราดอกเบี้ยสินเชื่อของสหรัฐยังอยู่ที่ 3.9% (แต่ก็มีแนวโน้มว่าจะปรับขึ้นในลักษณะค่อยเป็นค่อยไป) ส่วนของไทยยังคงเดิมอยู่ที่ 6.7% สาเหตุเพราะประเทศเรายังมีปัญหาด้านหนี้ครัวเรือนและไม่สามารถปรับเงินเฟ้อขึ้นได้เพราะสภาพเศรษฐกิจโดยรวมยังคงไม่เอื้ออำนวยต่อการปรับขึ้น

เรื่องข้างต้นนี้เขียนโดย ชัยสิทธิ์ บุนนาค Content Writer ประจำ DDproperty.com หากมีคำถามเพิ่มเติมสามารถติดต่อได้ที่ chaiyasit@ddproperty.com 

บทความเกี่ยวข้อง

ดอกเบี้ย FED ปรับขึ้น ส่งผลอะไรกับมนุษย์เงินเดือนที่อยากมีบ้าน?

จีดีพีและอสังหาฯเกี่ยวเนื่องกันอย่างไร

หนี้ครัวเรือนกับอสังหาฯ

 

เขียนความเห็น