ทุกคนย่อมมี “ของโปรด” ไม่ว่าจะเป็นอาหาร กิจกรรม หรือสิ่งของที่หากมีโอกาสจะต้องลอง ต้องทำหรือต้องเก็บสะสม เคยสงสัยบ้างหรือไม่ว่า คนที่รวยมากๆ มีธุรกิจที่ต้องดูแลมูลค่าเป็นร้อยล้าน พันล้าน จะมีสิ่งที่ทำให้พวกเขายอมทุ่มเงินแบบเกือบขาดสติในบางครั้งเพื่อให้ได้มาบ้างหรือไม่ วันนี้ DDproperty จะพาคุณไปดูว่าบรรดาเศรษฐีแถวหน้าของเอเชียจะชอบสะสมอะไร เผื่อจะเป็นไอเดียให้ใครหลายคนได้เจริญรอยตาม เพื่อซึมซับความมั่งคั่งของพวกเขาเหล่านั้นแบบใกล้ชิด
วัตถุโบราณ
อดีตคนขับรถแท็กซี่ Liu Yiqian นี้เมื่อเก็บเงินได้ก้อนหนึ่งก็ได้เริ่มลงทุนกับตลาดหุ้นจีน (Shanghai stock market) หลังจากสร้างกำไรได้จึงหันมาลงทุนด้านบริษัทอสังหาริมทรัพย์, บริษัทยา และการเงิน ลูและภรรยา Wang Wei นำเงินมาสร้างพิพิธภัณฑ์ส่วนตัวและกว้านซื้อวัตถุโบราณและผลงานศิลปะจากทั่วทุกมุมโลก อีกทั้งเนื่องจากเครดิตและความมั่งคั่งของเขาที่มีเหลือล้น เค้าจึงได้บินฟรีผ่านบัตร American Express Centurion Card เพื่อข้ามประเทศไปซื้องานศิลป์
ทูเหา (Tuhao) คำที่ใช้เรียกเศรษฐีเกิดใหม่ในภาษาจีน ลูก็เช่นกัน เขาชอบประมูลงานศิลป์ ปีที่แล้วเขาซื้อถ้วยเซรามิคที่เคยเป็นของราชวงศ์อายุกว่า 500 ปีในราคา 36 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 1,300 ล้านบาท) และสร้างกระแสด้วยการรินชาดื่มจากถ้วยใบนั้น เสริมโหดโชว์ความมั่งคั่งด้วยการซื้อภาพเปลือย Nu Couche (Reclining Nude) ผลงานของ Amedeo Modigliani ในราคา 170.4 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 6,200 ล้านบาท) ซึ่งนับเป็นผลงานที่มีมูลค่ามากเป็นอันดับสองของโลกที่มีการประมูล
Joseph Lau (โจเซฟ เหลา) ก็ไม่น้อยหน้าเข้าซื้อภาพวาดของศิลปินชาวฝรั่งเศสชื่อดังอย่าง Paul Gauguin มูลค่า 39.2 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 1,414 ล้านบาท) และที่เป็นข่าวดังไปทั่วโลกเมื่อปีที่แล้วกับการซื้อเพชรมูลค่า 41 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 1,476 ล้านบาท) ให้กับลูกสาวของเขา Zoe
สานต่อความเทพด้วยการนำเงิน 67.4 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 2,426 ล้านบาท) ซื้อภาพวาดของศิลปิน Pablo Picasso ชื่อผลงานคือ Buste de Femme วันถัดมาเขาก็เข้าสอยอีกผลงานของ Roy Lichtenstein ผลงานภายใต้ชื่อ The Ring (Engagement) ในราคา 41.7 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 1,500 ล้านบาท)
เมื่อพฤศจิกายนเศรษฐีวัย 64 ก็ไปช็อปครั้งใหญ่ ณ เจเนวา (สก็อตแลนด์) หมดไปกับเพชรสองก้อนมูลค่ารวมกว่า 77 ล้านเหรียญ (ประมาณ 2,772 ล้านบาท) โดยใช้นามลูกสาวในการซื้อ
คฤหาสน์
เศรษฐีอินเดียและประธานบริษัท Serum Institute of India Ltd. บริษัทผลิตวัคซีนที่ใหญ่ที่สุดในโลก นาม Cyrus Poonawalla ใช้เงินจำนวน120 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 4,320 ล้านบาท) เพื่อซื้ออภิมหาคฤหาสน์ ณ มุมไบ ที่มีเนื้อที่กว่า 50,000 ตารางฟุต มีวิวติดคาบสมุทร Arabian ซึ่งอาจจะยังไม่กว้างพอสำหรับเศรษฐีผู้นี้โดยเขาและครอบครัวมีแผนที่จะขยายพื้นที่ออกไปอีกแต่ทั้งนี้ต้องขออนุญาตจากทางสำนักที่ดินมุมไบ ราคาคฤหาสน์หลังนี้ทุบทุกสถิติอสังหาฯในเมืองมุมไบ
เจ้าของและผู้ก่อตั้ง อลิบาบา กรุ๊ป Jack Ma หนึ่งในบริษัท e-commerce ชั้นนำของโลก แจ็ค หม่า เคยกล่าวประโยคที่ว่า “เงินมันหาง่าย ใช้มันยาก” ให้แก่นักศึกษา MBA ที่กรุงปักกิ่ง แต่ถึงกระนั้นเขาก็ยังคงเน้นให้คนรวยนำเงินช่วยเหลือผู้ยากไร้ หม่า ผู้มีทรัพย์สินรวมกว่า 3 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 1,080 ล้านล้านบาท) ก็กำลังนำเงินซื้อความสุขบ้างเช่นกัน
หม่า วัย 51 ได้ซื้อบ้านที่นิวยอร์กราคา 23 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 828 ล้านบาท) พื้นที่รวมกว่า 28,000 เอเคอร์ และติดกับสายน้ำทางผ่านของฝูงปลาเทราท์
เมื่อต้นธันวาคมที่ผ่านมา หม่า สร้างความฮือฮาด้วยการเข้าซื้อครั้งใหญ่ อลีบาบา ซึ่งตอนนี้ได้เป็นเจ้าของ China Morning Post บริษัทหนังสือพิมพ์ของฮ่องกง เช่นเดียวกันกับอีกบริษัท e-commerce ยักษ์ใหญ่ Jeff Bezos ที่เข้าซื้อ the Washington Post ในปี 2013
ทีมฟุตบอล
Wang Jianlin (หวัง เจียลิน) อภิมหาเศรษฐีผู้มั่งคั่งที่สุดแห่งเอเชียยุ่งวุ่นวายกับการซื้อสินทรัพย์เข้าพอร์ตการลงทุนของตัวเอง เขาเป็นประธานและผู้ก่อตั้งกลุ่ม Dalian Wanda Group ซึ่งทำการลงทุนด้านอสังหาฯ, เจ้าของเครือบริษัทภาพยนตร์และกำลังแผ่อาณาจักรไปยังด้านกีฬา
เมื่อมกราคมที่ผ่านมาเขาได้เข้าถือหุ้นทีมฟุตบอลสเปน Atletico Madrid 20% มูลค่าหุ้น 45 ล้านยูโร (ประมาณ 1,764 ล้านบาท) หวัง นักลงทุนแห่งศตวรรษ 20 เพิ่มพอร์ตสะสมด้วยการซื้อภาพวาดสีน้ำมัน Claude Monet มูลค่า 20.4 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 734 ล้านบาท)
จะเห็นได้ว่ามหาเศรษฐีเหล่านี้ต่างแปรรูปเงินของตนให้อยู่ในรูปของทรัพย์สิน (assets) อีกทั้งยังเป็นกลุ่มของทรัพย์สินที่ไม่มีกรอบราคามากำหนด ตัวอย่างเช่น การเลือกลงทุนอสังหาฯซึ่งแน่นอนว่ามูลค่าจะปรับสูงเพิ่มขึ้นตามอัตราเงินเฟ้อและราคาพื้นดินที่ถูกปรับขึ้น หรือเครื่องประดับซึ่งอยู่ที่ความชอบส่วนบุคคลที่ยินยอมจ่ายแล้วยิ่งถ้าเคยได้อยู่ในครอบครองของเหล่าคนมีชื่อเสียงแล้วล่ะก็จะผลักดันให้ราคาสูงขึ้นอย่างแน่นอน เช่นเดียวกันกับทีมฟุตบอล หากมีผลงานที่ดีต่อเนื่องจะสร้างมูลค่าให้กับทีมเพิ่มขึ้นอีกมากมายอย่างที่กรณีของ King Power เข้าซื้อ Leister City ทีมจากพรีเมียร์ลีกอังกฤษซึ่งตอนนี้นำเป็นจ่าฝูง จากที่เคยเป็นทีมรองบ่อน ส่งผลให้มูลค่าถูกผลักให้สูงลิ่วอยู่ ณ ตอนนี้ แล้วคุณล่ะจะเลือกเอาเงินไปซื้อหรือลงทุนอะไร?
ที่มา: http://www.bloomberg.com/news/articles/2015-12-15/what-asia-s-billionaire-s-bought-in-2015-from-mansions-to-monets
เรื่องข้างต้นเรียบเรียงโดย ชัยสิทธิ์ บุนนาค Content Writer ประจำ DDproperty.com หากมีคำถามเพิ่มเติมสามารถติดต่อได้ที่ chaiyasit@ddproperty.com