คอลลิเออร์สฯ แนะจับตาทำเลปทุมธานี หลังปริมาณซัพพลายที่อยู่อาศัยทั้งแนวราบ-แนวสูงพุ่งขึ้นอย่างเห็นได้ชัด หลังโครงการรถไฟฟ้าสายสีแดงเข้มและสีเขียวเริ่มมีความชัดเจน
จากรายงานการสำรวจตลาดอสังหาริมทรัพย์ในพื้นที่ตอนเหนือของกรุงเทพมหานครโดยบริษัทที่ปรึกษาด้านอสังหาริมทรัพย์ชื่อดัง คอลลิเออร์ส อินเตอร์เนชันแนล ประเทศไทย พบว่าตลาดอสังหาริมทรัพย์ในจังหวัดปทุมธานีโดยเฉพาะในอำเภอลำลูกกา และคลองหลวงซึ่งมีพื้นที่ติดต่อกับกรุงเทพฯ นั้นได้รับความสนใจจากผู้ประกอบการอย่างต่อเนื่องมาเป็นระยะเวลา 3 – 4 ปีแล้ว นับตั้งแต่โครงการรถไฟฟ้าสายสีแดงเข้ม และสีเขียวเริ่มมีความชัดเจน แม้ว่าในอดีตก่อนหน้านี้พื้นที่ทั้ง 2 อำเภอนี้จะมีโครงการที่อยู่อาศัยมากอยู่แล้วก็ตาม แต่เริ่มมีโครงการคอนโดมิเนียม และบ้านจัดสรรเปิดขายมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัดในช่วง 3 – 4 ปีที่ผ่านมา
นายสุรเชษฐ กองชีพ รองผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย คอลลิเออร์ส อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) เปิดเผยว่า ตลาดที่อยู่อาศัยในทั้ง 2 อำเภอนี้มีการขยายตัวอย่างเห็นได้ชัดตั้งแต่ปี 2556 ที่มีโครงการคอนโดมิเนียมจำนวนมากเปิดขาย โดยโครงการส่วนใหญ่ตั้งอยู่ในพื้นที่รอบๆ มหาวิทยาลัยรังสิตเพื่อรองรับกำลังซื้อของนักศึกษา และบุคลากรในมหาวิทยาลัย รวมทั้งคนที่ต้องการซื้อคอนโดมิเนียมเพื่อลงทุนปล่อยเช่าให้กับคนกลุ่มข้างต้น โดยส่วนใหญ่เป็นโครงการของผู้ประกอบการรายใหญ่ในตลาดหลักทรัพย์ที่เข้ามาดักกำลังซื้อในบริเวณนี้
อีกหนึ่งพื้นที่ที่ได้รับความสนใจจากผู้ประกอบการในการพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมคือ อำเภอคลองหลวงช่วงที่ไม่เกินรังสิตคลอง 2 โดยมีโครงการขนาดใหญ่ของผู้ประกอบการรายหนึ่งทีเปิดขายเป็นหลักหมื่นยูนิตต่อโครงการ ทำให้การดูดซับสินค้าประเภทคอนโดมิเนียมในบริเวณนี้เกิดการชะลอตัวลงไป เนื่องจากมีคอนโดมิเนียมเปิดขายมากเกินไป ประกอบกับมีโครงการบ้านจัดสรรที่เปิดขายอย่างต่อเนื่องในช่วงปี 2554 – 2557 โดยในแต่ละปีมีบ้านจัดสรรเปิดขายมากกว่า 3,000 ยูนิต ยกเว้นปี 2557 ที่มีโครงการบ้านจัดสรรเปิดขายใหม่มากกว่า 5,600 ยูนิต แสดงให้เห็นถึงความต้องการที่อยู่อาศัยในพื้นที่นี้ที่มีต่อเนื่องจนผู้ประกอบการต้องเปิดขายโครงการใหม่ๆ มากขึ้น
“สำหรับราคาขายเฉลี่ยของโครงการคอนโดมิเนียมในพื้นที่นี้ ณ ไตรมาสที่ 1/2558 อยู่ที่ประมาณ 35,000 บาทต่อตารางเมตร หรือประมาณยูนิตละ 1 ล้านบาท เนื่องจากมีโครงการขนาดใหญ่ที่มีจำนวนยูนิตประมาณ 10,000 ยูนิตซึ่งถ้าตัดโครงการนี้ออกจะทำให้ราคาขายเฉลี่ยในพื้นที่เพิ่มขึ้นไปถึงประมาณ 40,000 บาทต่อตารางเมตร ซึ่งผู้ประกอบการโครงการคอนโดมิเนียมต่างพยายามดึงดูดกำลังซื้อในพื้นที่โดยการคงราคาขายไว้ไม่ให้สูงเกินกว่า 2 ล้านบาท เนื่องจากในพื้นที่นี้มีบ้านจัดสรรที่มีราคาขายต่ำกว่า 2 ล้านบาทอยู่อีกเป็นจำนวนมากซึ่งทำให้คนจำนวนไม่น้อยเลือกซื้อบ้านจัดสรรแทนที่จะซื้อคอนโดมิเนียม โดยถ้าแยกตามประเภทของบ้านจัดสรรที่เปิดขายอยู่ในปัจจุบันนั้นพบว่า มีบ้านเดี่ยว 8,800 ยูนิต ทาวน์เฮ้าส์ประมาณ 8,600 ยูนิต บ้านเดี่ยว 3,780 ยูนิต และอาคารพาณิชย์ 700 ยูนิต” นายสุรเชษฐกล่าว
สำหรับอัตราการขายเฉลี่ยของโครงการคอนโดมิเนียมในพื้นที่นี้อยู่ที่ประมาณ 65% จากจำนวนที่เปิดขายทั้งหมดประมาณ 19,220 ยูนิต แสดงให้เห็นว่ามีการตอบรับที่ไม่ได้ดีมากนัก อาจจะเป็นเพราะว่ามีตัวเลือกในตลาดมากเกินไป ในขณะที่อัตราการขายเฉลี่ยของบ้านจัดสรรก็ต่ำกว่าคอนโดมิเนียมโดยอยู่ที่ประมาณ 57% เท่านั้นจากทั้งหมดของจำนวนบ้านจัดสรรที่เปิดขายอยู่ในปัจจุบันประมาณ 21,800 ยูนิต ซึ่งจากอัตราการขายของทั้งคอนโดมิเนียมและบ้านจัดสรรดังกล่าวทำให้ยังมีคอนโดมิเนียมและบ้านจัดสรรเหลือขายอยู่ในพื้นที่นี้อีกมากกว่า 16,000 ยูนิต ซึ่งคาดว่าจะต้องใช้เวลาในการดูดซับอีกระยะหนึ่ง
สำหรับความเชื่อมั่นของกำลังซื้อที่ลดลงต่อเนื่อง และปัญหาเรื่องการขาดคุณสมบัติของผู้ซื้อที่ทำให้ยอดการยกเลิกสินเชื่อสูงถึงประมาณ 25 – 30% โดยเฉพาะในกลุ่มคนที่มีรายได้ปานกลางลงมาซึ่งเป็นคนกลุ่มหลักของโครงการคอนโดมิเนียม และบ้านจัดสรรในบริเวณนี้
“เส้นทางรถไฟฟ้าสายสีแดงเข้มที่ต่อขยายจากบางซื่อไปรังสิตที่เริ่มมีการก่อสร้างแล้วในปีที่ผ่านมา ในขณะที่สายสีเขียวที่ขยายจากหมอชิตไปคูคตที่จะเริ่มก่อสร้างได้ในช่วงกลางปีนี้นั้น คาดว่าจะช่วยกระตุ้นการขยายตัวของตลาดที่อยู่อาศัยในพื้นที่ตามแนวเส้นทางทั้ง 2 เส้นนี้ โดยเฉพาะในอำเภอลำลูกกา และอำเภอคลองหลวงให้เป็นที่น่าสนใจมากขึ้นแม้ว่ากำลังซื้อจะยังคงมีปัญหาเรื่องของหนี้ครัวเรือนที่อาจจะต้องใช้เวลาสักระยะในการจัดการ” นายสุรเชษฐ กล่าวสรุป
เรื่องข้างต้นนี้เขียนโดย กาญจนา พาหา บรรณาธิการ DDproperty.com หากมีคำถามเพิ่มเติมสามารถติดต่อได้ที่ kanchana@ddproperty.com
อัพเดทข่าวในแวดวงอสังหาริมทรัพย์ ทางอีเมลส่งตรงจากเว็บไซต์อสังหาฯ อันดับ 1 ของเมืองไทยฟรี สมัครได้ที่นี่