ต้อนรับวันหยุดยาวที่กำลังมาถึง ใครที่อยู่กรุงเทพฯ เพราะไม่ชอบเดินทางช่วงเทศกาล หรือไม่ได้วางแผนเที่ยวเอาไว้ล่วงหน้า แค่ก้าวออกมาจากบ้าน ตามเรามา จะพาคุณไปเปิดประสบการณ์ใหม่ที่ห้างใหญ่กลางเมือง เตรียมปาก เคลียร์ท้องให้ดี แผนที่ไม่ต้องนะจ๊ะ เพราะทริปนี้ให้ความหิวล้วนๆ เป็นตัวนำทาง ถ้าพร้อมแล้วก็ตามมาเลย เราจะไปสัมผัสรสชาติใหม่จากร้านที่มาเปิดสาขาแรก หรือมีแค่สาขาเดียวในไทยที่ ดิ เอ็มควอร์เทียร์กัน
ออร์เดิร์ฟ
ก่อนที่จะจัดหนักกับอาหารมื้อใหญ่ ความหิวของเราก็นำทางเราตามกลิ่นหอมๆ ลงไปที่ชั้น G เพื่อเผชิญหน้ากับหางแถวยาวเหยียดซึ่งมีหัวแถวอยู่ที่ต้นตอจุดกำเนิดกลิ่นหอมๆ ของขนมอบนี้ เมื่อชะโงกหน้าดูก็จะพบกับป้ายผ้าสไตล์ญี่ปุ่นพร้อมตัวเขียนชื่อของร้านให้เห็นกันชัดๆ “ครัวซองต์ไทยากิ” (Croissant Taiyaki) ชื่อนี้เองที่เป็นตำนานครัวซองต์สีเหลี่ยมรูปปลาสีเหลืองทอง ฉาบผิวด้วยน้ำตาลเกล็ดใหญ่จากญี่ปุ่นที่หลอมละลายเคลือบไปทั่วผิว และเมื่อกัดลงไปก็จะสัมผัสได้ถึงแผ่นแป้งพายที่กรอบนอก นุ่มใน ด้วยแป้งที่ซ้อนกันถึง 24 ชั้น ครัวซองต์ที่นี่มีรสชาติดั้งเดิมจากญี่ปุ่น ได้แก่ ถั่วแดงกวน คัสตาร์ด และชาเขียว แต่เก็บท้องไว้ก่อนเพราะความพิเศษของ ครัวซองต์ไทยากิที่ ดิ เอ็มควอร์เทียร์ก็คือไส้แฮมชีส แนะนำว่าซื้อแล้วให้ทานทันทีเพราะคุณจะฟินมากกับชีสร้อนๆ หอมกรุ่นที่ละลายในปากไปพร้อมกับแป้งพาย ใครที่ชอบขนมอบอยู่แล้วคุณอาจหลงรักครัวซองต์ญี่ปุ่นได้ไม่ยาก
ก่อนจะไปถึงจานหลัก เราก็แวะกลางทางกันอีกครั้งเพราะอดใจไม่ไหวจริงๆ กับเกี๊ยวซ่าชิ้นใหญ่ที่มาดักรอเราอยู่ กับลุงหน้าหนวดสัญลักษณ์ประจำร้าน “เกี๊ยวซ่าเทระโอกะ” (Teraoka Gyoza) แต่ลุงคนนี้ธรรมดาเสียที่ไหนเพราะเป็นแชมป์เกี๊ยวซ่าถึง 7 สมัยซ้อนจากการแข่งขันในประเทศญี่ปุ่น ถ้าผ่านเลยไปโดยไม่ได้ชิมฝีมือเชฟคงเสียดายมาก ทั้งร้านไม่ได้มีแค่เกี๊ยวซ่าหรอกนะ ยังมีทั้งข้าวแกงกะหรี่และอุด้ง แต่เชื่อเถอะว่าแค่เกี๊ยวซ่าอย่างเดียวก็ทานกันไม่ไหวแล้วเพราะมีหลากหลายแบบให้เลือกจนจุใจ เป็นสวรรค์ของคนรักเกี๊ยวซ่ากันไปเลย ที่พลาดไม่ได้เพราะเป็นซิกเนเจอร์ของทางร้านก็คือ เกี๊ยวซ่าซุดะชิ (Sudashi Gyoza) ที่ใช้เนื้อน่องไก่คลุกผสมเนื้อหมูให้เข้ากันห่อด้วยแผ่นเกี๊ยวสดๆ ก่อนนำไปทอดครึ่งเดียว ทำให้เหลือแผ่นแป้งอีกด้านหนึ่งเหนียวนุ่ม ตัดกับอีกด้านที่เกรียมกรอบ ความแตกต่างที่เข้ากันอย่างลงตัว บีบมะนาวและจิ้มพริกไทยดำ หอมอมเปรี้ยวอร่อยอย่าบอกใคร
แต่ถ้าเป็นเมนูเกี๊ยวซ่าดับร้อนที่เราค้นพบก็ต้องเกี๊ยวซ่าฮิยาชิ (Hiyashi Gyoza) เพราะจะมาคู่กับน้ำซุปรสกลมกล่อมที่เคี่ยวจากเนื้อปลาแล้วนำไปแช่เย็นจัดจนเป็นวุ้นรับประทานไปพร้อมกับตัวเกี๊ยว บีบมะนาวให้ความเปรี้ยวสดชื่น ทานแล้วรู้สึกคืนพลังจากอากาศร้อนๆ เลยทีเดียวเชียว
ภาพ via facebook.com/teraokagyoza
จานหลัก
แล้วก็ถึงคิวของอาหารจานหลักที่เราคัดเลือกกันมาด้วยความลำบากใจมาก เพราะตัวเลือกเยอะเหลือเกิน เดินวนไปวนมาหลายรอบมากสุดท้ายก็แพ้ทางไก่ทอดกรอบๆ ที่ชวนหิวแค่เห็นภาพมาแต่ไกล กับขนาดที่ใหญ่ไซส์ XXL มั่นใจได้ว่าจะไม่ทำให้หิวค้างสะดุดอารมณ์แบบที่ผ่านมาที่กำลังจะซาบซึ้งกับความอร่อยก็กินหมดก่อนทุกที ร้านที่ว่านี้คือไก่ทอดดาวเด่นที่บินมาจากเกาะไต้หวันเพื่อการนี้โดยเฉพาะกับ “ร้านฮอทสตาร์” (Hot Star) ที่มาเปิดสาขาแรกที่ชั้น B ของดิ เอมควอร์เทียร์ สำหรับรสชาติของไก่ทอดนั้นเป็นรสดั้งเดิมเหมือที่ไต้หวัน ได้แก่ รสชาติต้นตำรับที่ขายดีสุดๆ และรสเผ็ดร้อนจัดจ้านที่น่าจะถูกปากคนไทยไม่น้อย หลังจากที่ได้ทานแล้วเราชอบทั้งสองรสชาติเลย ทั้งกรอบ ร้อนและอร่อย ที่สำคัญคือขนาดใหญ่จุใจเป็นที่สุด สนนราคาก็ชิ้นละ 139 บาท สารภาพว่ากินไม่หมดเลยเพราะถ้ากินหมดคงต้องจบทริปตะลอนกินแต่เพียงเท่านี้
มีพนักงานมาบริการเมนูถึงในคิวอันยาวเหยียด
ทอดกันสดๆ ให้เห็นกันจะๆ จากหลังเคาน์เตอร์นี้แหละ
ถือเป็นร้านที่ฮอตที่สุด คิวยาวที่สุด ณ ขณะนี้ และเชื่อว่าเป็นสถิติที่ยากจะทำลายไปอีกสักพักเลยทีเดียว
จากเมนูหลักที่หนักไปทางโปรตีนก่อนหน้าอาจไม่ถูกใจใครที่ไม่ชอบทานอาหารทอดๆ แห้งๆ ดังนั้นจานหลักจานที่สองซึ่งเราเลือกมาจึงขอเอาใจคนรัก “เส้น” ทั้งหลายกับอุด้งชามใหญ่ และรวยเครื่องชามนี้ที่ร้าน “มิยาตาเกะ ซานุกิ อุด้ง” (Miyatake Sanuki Udon) เป็นอีกร้านเก่าแก่ที่หอบสูตรในตำนานข้ามทะเลมาจากญี่ปุ่นถึงเมืองไทย สำหรับเมนูที่ถือว่าเป็นซิกเนเจอร์ของร้านนี้ก็คือ อุด้งหอยอาซาริ (Edo Asari Udon) เส้นอุด้งเหนียวกรุบกริบที่ลอยอยู่ในน้ำซุปหอมหวานเคี่ยวจากปลาสูตรต้นตำรับญี่ปุ่น และใส่หอยอาซาริหรือหอยลายลงไปอร่อยสมคำร่ำลือ นอกจากนี้หน้าเคาน์เตอร์ยังมีเทมปุระและของทอดหน้าตาน่าทานวางเอาไว้เพียบ สามารถทานเป็นเครื่องเคียง หรือจะทานเล่นๆ ก็ได้ ตัวร้านตั้งอยู่ที่ชั้น B กว้างขวางนั่งสบาย บรรยากาศดี
แต่ถ้าหากคุณเป็นคนที่ไม่ชอบเนื้อสัตว์เน้นๆ และไม่ชอบอาหารเส้น ข้าวห่อไข่เจ้าดังจากญี่ปุ่นอาจเป็นตัวเลือกที่เหมาะเจาะสำหรับคุณก็ได้เพราะที่ร้าน “ปอมเมะโนะกิ” (Pomme-no-ki) มีข้าวห่อไข่สารพัดชนิด น้ำซอสที่หลากหลายที่เด็ดก็คือข้าวหน้าไข่ราดฮายาชิซอสหอมกรุ่นจานนี้ ซึ่งด้านในห่อไข่นั้นมีไส้ชีสพร้อมที่จะทะลักออกมารอคุณอยู่
ของหวาน
แล้วก็ได้เวลาล้างปากด้วยของหวานเย็นๆ และสดชื่นกับร้านไอศกรีม 2 ร้าน 2 สไตล์ 2 แหล่งที่มาซึ่งเราปลื้มทั้งคู่เลย เริ่มกันที่ร้านแรกที่ “ไนโตรจีนี” (Nitrogenie) ไอศกรีมอิมพอร์ตจากออสเตรเลียที่มีรสชาติเป็นเอกลักษณ์ และกรรมวิธีการผลิตที่ใช้ไนโตรเจนเหลวในขบวนการผลิตที่แสนตื่นตาตื่นใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงนี้มีรสคาราเมลเค็มกับป๊อบคอร์นที่ทั้งหวานเค็มและหอมมันเหมาะอย่างยิ่งสำหรับหน้าร้อน
ส่วนอีกร้านหนึ่งคือ “สติ๊กเฮ้าส์” (Stickhouse) ไอศกรีมที่มาจากประเทศที่ขึ้นชื่อเรื่องไอศกรีมอย่างอิตาลี หากคุณชอบไอศกรีมผลไม้รสเปรี้ยวอมหวานเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว มาร้านนี้รับรองไม่ผิดหวังแน่นอนเพราะว่ามีไอศกรีมผลไม้หลากหลายรสชาติให้เลือกสรร บางรสมีเนื้อผลไม้ผสมอยู่ในเนื้อไอศกรีมด้วยนะ เลือกรสชาติแล้วก็สามารถเลือกเคลือบช็อคโกแลตแบบต่างๆ กับตัวไอศกรีมได้ไม่ว่าจะเป็นเคลือบทั้งแท่ง ครึ่งเดียว จากนั้นก็เลือกโรยทอปปิ้งได้ตามใจชอบได้เลย โดนใจคนชอบอ็อพชั่นเสริมไปเต็มๆ
สำหรับรสชาติที่ขายดีตลอดๆ ก็อยู่ในมือของน้องพนักงานทั้งสามคนได้แก่ ชีสเค้ก แตงโม และพิสตาชิโอ้
ของฝาก
มาถึงดิ เอ็มควอร์เทียร์ทั้งทีจะกลับบ้านไปมือเปล่าก็กระไรอยู่ หาของไปฝากคนที่บ้านสักหน่อยดีกว่า จัดไปอย่างละหนึ่งทั้งของหวานและของคาว สำหรับของหวานเราขอแนะนำมาการองที่รอคอยกันมาแสนนาน ในที่สุดก็เข้ามาเปิดร้านแรกในไทยสักทีอย่างมาการองของ “ปิแอร์ แอร์เม่” (Pierre Hermé) ที่มาจากประเทศต้นกำเนิดมาการองอย่างฝรั่งเศส รสชาติหวานละมุนละไม ที่มาพร้อมกับแพ็คเกจสวยๆ ราคากล่องเล็ก 7 ชิ้น 980 บาท
เช่นเดียวกับหมูแผ่นในตำนานที่โด่งดังละบือไกลมาจากแดนลอดช่องอย่าง “บีเชงเฮียง” (Bee Cheng Hiang) ที่เครือเบทาโกรนำแฟรนไชส์แรกเข้ามาในไทย จากสูตรลับความอร่อยที่สืบทอดกันมากว่า 80 ปี เนื้อหมูคุณภาพปรุงรสหมักเป็นแผ่นที่ให้รสชาติหวานอร่อยๆ หนานุ่ม จะทานเล่นหรือทานเป็นกับข้าวก็อร่อย สำหรับรสชาติที่ขายดีก็คือรสชาติต้นตำรับ
จะซื้อกลับไปทานเองที่บ้านหรือซื้อฝากคนอื่นที่นี่มีแพ็คเกจสวยงามน่าชมจัดไว้เป็นมุมของฝาก
จบทริปตามล่าหาความอิ่มกันไปแบบพอดีๆ เกิดรู้สึกติดใจทำเลนี้ขึ้นมาเพราะความอุดมสมบูรณ์ของอาหารการกินและไลฟ์สไตล์หลากหลายรูปแบบที่พรั่งพร้อมมากๆ ระหว่างเดินทางกลับก็พบว่ามีโครงการที่น่าสนใจที่กำลังเปิดขายอยู่ในทำเลนี้ถึง 3 โครงการด้วยกัน ฝั่งซอยเลขคี่นั้นก็ต้องโครงการ เดอะ ดิโพลแมท 39 (The Diplomat 39) ซึ่งอยู่ในซอยข้างดิ เอ็มควอร์เทียร์นี้เอง เลยไปอีกนิดจะเป็นโครงการแอชตัน สุขุมวิท 41 (Ashton Sukhumvit 41) คอนโดที่มีคอนเซปต์น่าสนใจจากธารน้ำและสวนสวยแนวตั้งที่จะช่วยให้การอยู่อาศัยนั้นน่ารื่นรมย์ และในฝั่งตรงข้ามก็น่าสนใจไม่แพ้กันเพราะเป็นที่ตั้งของโครงการหรูและใหญ่อย่าง พาร์ค 24 (Park 24) ของพราวด์ เรียลเอสเตทที่ตั้งอยู่ในซอยสุขุมวิท 24 ข้างดิ เอ็มโพเรียม โดยโครงการที่ตั้งอยู่ในทำเลที่สะดวกสบายขนาดนี้ ก็ต้องสู้กับราคาขายต่อตารางเมตรที่สูงนิดนึง ถ้ายังไม่พร้อมจะซื้อก็มาเที่ยว มาอิ่ม มาช้อปที่ดิ เอ็มดิสทริคไปพลางๆ ก่อนแล้วกัน
เรื่องข้างต้นนี้เขียนโดย เชษฐพล มานิตย์ นักเขียนออนไลน์ประจำ DDproperty.com หากมีคำถามเพิ่มเติมสามารถติดต่อได้ที่ chetapol@ddproperty.com
อัพเดทข่าวในแวดวงอสังหาริมทรัพย์ ทางอีเมลส่งตรงจากเว็บไซต์อสังหาฯ อันดับ 1 ของเมืองไทยฟรี สมัครได้ที่นี่