จัดการหนี้บัตรเครดิตอย่างไรให้อยู่หมัด?

Kanchana Paha5 มิ.ย. 2558

Credit Cards

รูดปรื๊ด รูดปรื๊ด วลีเด็ดที่มาคู่กับบัตรเครดิตซึ่งเปรียบเสมือนวิถีทางที่จะได้มาในสิ่งที่ต้องการ จนบางครั้งเราอาจจะลืมความจริงของโลกนี้ไปว่าแท้จริงแล้วไม่มีอะไรได้มาฟรีๆ โดยไม่ต้องลงทุนหรือลงแรง ดังนั้น สิ่งที่เราคว้ามาด้วยการนำเงินในอนาคตจากการรูดบัตรเครดิตจึงแลกมาด้วยหนี้ก้อนโตที่ไม่ต่างอะไรจากระเบิดเวลา ณ ขณะนี้คุณอาจมีระเบิดอยู่กับตัว อาจจะหนึ่งลูก สองลูก หรือมากกว่านั้น แต่โชคยังเป็นของคุณที่ระเบิดเวลาลูกนี้สามารถเลื่อนเวลาออกไปได้เพียงแค่ทำอย่างถูกวิธี หรือจะระงับการระเบิดไปเลยก็ได้ เพราะหนี้บัตรเครดิตเป็นเรื่องที่ควบคุมได้ หากจัดการอย่างถูกวิธี
หนี้บัตรเครดิตอันตรายอย่างไร?
หนี้บัตรเครดิตไม่ใช่ระเบิดจริงๆ ที่จะทำให้เราบาดเจ็บหรือเสียชีวิตได้จริง แต่หนี้บัตรเครดิตจะส่งผลร้ายต่อสุขภาพทางการเงินของเราอย่างแน่นอน เพราะหนี้บัตรเครดิตที่เราไม่สามารถชำระได้ทันเวลาจะนำไปสู่ค่าใช้จ่ายมากมาย อาทิ ค่าใช้จ่ายในการทวงถามติดตามหนี้ ค่าปรับจากการผิดเงื่อนไขการชำระ แล้วยังมีดอกเบี้ยที่มาจากยอดหนี้ค้างชำระอีกด้วย โดยธนาคารจะเริ่มคิดดอกเบี้ยทันทีนับตั้งแต่ผิดนัดชำระโดยเป็นการคิดดอกเบี้ยรายวันด้วยนะ และผลเสียในระยะยาวจากการมีหนี้บัตรเครดิตก็คือการเสียเครดิตซึ่งทำให้การกู้เงินในครั้งต่อไป ไม่ว่าจะเป็นการขอสินเชื่อส่วนบุคคลหรือสินเชื่อบ้านไม่ได้รับการอนุมัติ เนื่องจากสถาบันการเงินจะตรวจสอบประวัติทางการเงินจากสำนักงานเครดิตแห่งชาติ หรือเครดิตบูโร (Credit Bureau) การเป็นหนี้บัตรเครดิตจะทำให้ประวัติทางการเงินของเรามีจุดด่างพร้อย

จัดการหนี้บัตรเครดิตอย่างไรดี?
การจัดการหนี้นั้นไม่ใช่เรื่องยุ่งยากเกินกว่าจะทำได้ โดยวิธีการที่เรานำมาแชร์ในครั้งนี้มีเพียง 3 ขั้นตอนเท่านั้น

ขั้นตอนที่ 1 สำรวจหนี้สินทั้งหมด
หากคุณมีบัตรเครดิตหลายใบ หรืออยู่ระหว่างการผ่อนสินเชื่ออยู่ ไม่ว่าจะเป็นบ้านหรือรถ เพื่อไม่ให้หลงลืมหรือตกหล่นหนี้สินก้อนใดไป การทำรายการแจกแจงหนี้ทั้งหมดที่เป็นภาระอยู่เป็นวิธีการที่ควรทำเป็นอย่างยิ่ง โดยให้มีข้อมูลดังต่อไปนี้

– จำนวนหนี้แต่ละรายการ ลิสต์รายชื่อเจ้าหนี้มาให้หมด ไม่ว่าจะเป็นสถาบันการเงิน สินเชื่อ หรือบัตรเครดิตต่างๆ รวมไปถึงเจ้าหนี้ที่เป็นบุคคลด้วย

– กำหนดชำระหนี้ ข้อมูลตัวนี้สำคัญเพราะจะบอกกับเราว่าหนี้ก้อนไหนจะถึงกำหนดที่จะต้องชำระก่อน

– อัตราดอกเบี้ยของหนี้แต่ละรายการ ซึ่งจะช่วยในการตัดสินใจว่าควรจะชำระหนี้รายการใดก่อนกรณีที่ไม่มีเงินเพียงพอชำระหนี้ที่จะครบกำหนดในเวลาไล่เลี่ยกันทุกรายการ ก็จะได้เลือกชำระหนี้ที่มีดอกเบี้ยสูงกว่าก่อน
ในขั้นตอนนี้มีหลักการสำคัญก็คือการปิดยอดหนี้ที่กำลังจะใช้หนี้หมดให้หมดก่อน และปิดยอดหนี้ที่มีดอกเบี้ยสูงให้หมดก่อน เช่น กรณีที่มีหนี้บัตรเครดิต กับหนี้ผ่อนบ้าน หนี้บัตรเครดิตมีความสำคัญมากกว่าเพราะมีอัตราดอกเบี้ยสูงถึง 20% ในขณะที่สินเชื่อบ้านนั้นมีดอกเบี้ยที่ต่ำกว่าเพียง 5% โดยประมาณเท่านั้น

ขั้นตอนที่ 2 สำรวจพฤติกรรมการใช้จ่าย
ให้เริ่มต้นบันทึกรายรับ-รายจ่ายที่เกิดขึ้นในแต่ละรอบบัตรเครดิต ประกอบกับข้อมูลการใช้บัตรเครดิต เพื่อให้มองเห็นภาพรวมว่าเรามีรายได้เข้ามาจากช่องทางใดบ้างในแต่ละเดือน และรายได้นั้นถูกจ่ายออกไปในกิจกรรมใดบ้าง ให้จัดลำดับความสำคัญของแต่ละรายการรายจ่าย เพื่อเริ่มต้นควบคุมรายจ่ายที่ไม่จำเป็น โดยเฉพาะรายการของฟุ่มเฟือยที่การใช้บัตรเครดิตจะควบคุมได้ยาก ควรเปลี่ยนไปใช้การจ่ายด้วยเงินสดแทนในรายการนี้ ที่ควรจับตาเป็นพิเศษก็คือการใช้บัตรเครดิตกดเงินสด (Cash advance) ซึ่งจะคิดอัตราดอกเบี้ยทันทีในอัตรา 3% ต่อวัน ซึ่งเป็นอัตราที่สูงมาก จึงไม่ควรใช้บัตรเครดิตกดเงินสดเลย
Credit Cards
ภาพ via mix96buffalo.com


ขั้นตอนที่ 3 วางแผนการใช้จ่ายอย่างเหมาะสม

การประเมินรายได้เอาไว้มากเกินจริง นำมาซึ่งการใช้บัตรเครดิตมากเกิดความสามารถที่จะจ่ายได้ ดังนั้นเริ่มต้นใหม่ด้วยการประเมินรายได้ หากใครที่นำรายได้ทั้งหมดมาคิดให้ลองคิดใหม่ โดยนำเข้ามาเฉพาะรายได้ประจำเท่านั้น ส่วนรายได้ที่มีเข้ามาเป็นบางโอกาสให้กันไว้ในอีกบัญชีสำหรับการใช้จ่ายในโอกาสที่พิเศษจริงๆ จากรายได้ประจำนั้นให้คำนวณหา 30% ของรายได้ประจำซึ่งคือจำนวนเงินที่เราจะสามารถชำระหนี้ได้ และคือเพดานการใช้จ่ายบัตรเครดิตที่เรากำหนดขึ้น

ส่วนใครที่อยู่ระหว่างการผ่อนสินเชื่อบ้านอยู่ให้คิดที่ 40% ซึ่งเป็นหลักเกณฑ์เดียวกับการพิจารณาอนุมัติสินเชื่อบ้าน ในส่วนนี้นอกจากการกำหนดเพดานการใช้จ่ายบัตรเครดิตแล้วก็ต้องมีวินัยด้วยการปฏิบัติตามกฎที่ตนเองตั้งขึ้นเอาไว้ให้ได้ด้วย และเพื่อให้แผนที่วางไว้ทำให้เราไม่มีหนี้บัตรเครดิตจริง ให้เรากันเงินสดจากรายได้เอาไว้เสมอ 30% ทุกๆ เดือนสำหรับการจ่ายบัตรเครดิต และหากจะมีการใช้จ่ายเกินเพดานแต่ละครั้งก็ให้กันเงินสดมากขึ้นไปด้วย เพื่อที่ว่าเมื่อถึงเวลาชำระหนี้บัตรเครดิตแล้วเราจะสามารถชำระเต็มวงเงินได้ตลอด ไม่มียอดหนี้ตกค้างให้เกิดดอกเบี้ยเพิ่มพูนขึ้นมาอีก และเป็นการป้องกันค่าปรับต่างๆ จากการผิดนัดชำระหนี้

นอกจากนี้การเลือกใช้บัตรเครดิตที่เข้ากับไลฟ์สไตล์ก็เป็นการเพิ่มโอกาสที่จะได้รับส่วนลดจากโปรโมชั่นบัตรเครดิตกับร้านค้าต่างๆ อีกด้วย ดังนั้นเวลาที่ซื้อของต่างๆ ควรจะตรวจสอบโปรโมชั่นกับทางร้านก่อนเสมอเพื่อให้เกิดประโยชน์จากการใช้บัตรเครดิตสูงสุด นอกจากนี้ควรหมั่นตรวจสอบแต้มสะสมของบัตรเครดิตและใช้แต้มทดแทนการจ่ายเงินได้

ที่สำคัญคือก่อนการใช้จ่ายใดๆ ควรกันเงินอีกส่วนหนึ่งเอาไว้เป็นเงินออม ซึ่งเงินส่วนนี้จะทำให้เราไม่เดือดร้อนในยามที่มีค่าใช้จ่ายที่จำเป็นฉุกเฉินขึ้นมา

เป็นหนี้บัตรเครดิตแล้วทำอย่างไร?
เมื่อเริ่มมีการผิดนัดชำระบัตรเครดิตแล้ว หรือมีชำระเงินเพียงขั้นต่ำเท่านั้น ถือว่าเริ่มเป็นหนี้บัตรเครดิตแล้ว คุณจะเริ่มมีดอกเบี้ยจากการผิดนัดชำระเพิ่มเข้ามา สิ่งที่คุณสามารถทำได้มีดังนี้
Credit Cards
ภาพ via engineeryourfinances.com

– งดเว้นการก่อหนี้เพิ่ม และชำระหนี้เพิ่มขึ้น ควรงดเว้นการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตอีกเพราะจะเป็นการสร้างหนี้เพิ่มเติมขึ้นอีก ควบคู่ไปกับการตัดลดกิจกรรมการใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น หรือเลื่อนออกไปได้ออกไป หารายได้เพิ่มขึ้น เพื่อนำเงินมาใช้หนี้บัตรเครดิตให้มากขึ้น โดยการชำระหนี้มากกว่าอัตราขั้นต่ำจะทำให้สามารถลดดอกเบี้ยปรับลงไปได้ และปลดหนี้ได้เร็วขึ้น

– การโอนหนี้ หรือรีไฟแนนซ์ ไปยังเจ้าหนี้ซึ่งให้กู้ในอัตราดอกเบี้ยต่ำกว่าเป็นสิ่งที่ควรทำเป็นอย่างยิ่งในกรณีที่ประเมินแล้วว่าต้องใช้ระยะเวลานานจึงจะสามารถปิดหนี้ลงได้ ไม่ควรมองข้ามแหล่งเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ เช่น กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ และสหกรณ์ออมทรัพย์ เป็นต้น หรือการรีไฟแนนซ์ไปยังสถาบันการเงินที่รับรีไฟแนนซ์หนี้บัตรเครดิต ซึ่งสามารถรวมหนี้บัตรเครดิตหลายๆ ใบเข้าด้วยกันได้ ซึ่งวิธีการนี้ต้องตรวจสอบอัตราดอกเบี้ยให้ดี เพื่อให้แน่ใจว่ารีไฟแนนซ์แล้วได้อัตราดอกเบี้ยที่ต่ำลง แต่การรีไฟแนนซ์จะทำให้ระยะเวลาการใช้หนี้นั้นยาวนานออกไปอีก

– ขายทรัพย์สินออกไปเพื่อใช้หนี้ ทรัพย์สินบ้างอย่างที่ถูกครองอยู่โดยที่ไม่มีความจำเป็น และสามารถหาซื้อกลับมาทดแทนได้ในอนาคต เป็นทางเลือกที่ดีในการขายออกไปเพื่อนำเงินมาปิดหนี้บัตรเครดิตได้ในครั้งเดียว ซึ่งทำให้ดอกเบี้ยบัตรเครดิตนั้นหยุดชะงักได้ในทันที แต่ถ้าหากการขายของออกไปแล้วไม่สามารถปิดหนี้ได้ก็อาจไม่คุ้มค่าเพราะดอกเบี้ยจะเพิ่มขึ้นกลับมาเท่าเดิมในที่สุด

– ปรับโครงสร้างหนี้ เป็นวิธีการสุดท้ายที่แนะนำ เมื่อเห็นว่าภาระหนี้สินนั้นมากเกินกำลังที่จะชดใช้ไหวแล้ว ควรขอเจรจาต่อรองกับเจ้าหนี้ซึ่งเป็นสถาบันการเงินเพื่อขอทำสัญญาใหม่ ซึ่งจะรวมยอดหนี้ ดอกเบี้ย ค่าปรับและค่าธรรมเนียมต่างๆ ไว้เป็นก้อนเดียวกัน โดยคิดดอกเบี้ยใหม่ในอัตราที่ต่ำลง แต่วิธีการนี้ควรทำเมื่อเก็บเงินไว้ได้จำนวนหนึ่งแล้วหรือมีอำนาจความสามารถในการชำระหนี้ได้โดยไม่ผิดนัดเลย

บัตรเครดิตนั้นเป็นเครื่องอำนวยความสะดวกทางการเงินอย่างหนึ่งที่ทำให้เราไม่จำเป็นต้องกังวลว่าจะไม่มีเงินสดติดตัวไว้เพียงพอในการใช้จ่ายต่างๆ แต่ขณะเดียวกันการใช้บัตรเครดิตมากเกินความสามารถในการหารายได้ หรือใช้ด้วยความเพลิดเพลินเกินจำเป็นก็เป็นจุดเริ่มต้นของภาระหนี้สินตามมา ดังนั้นการใช้บัตรเครดิตอย่างพอดี มีวินัยในการใช้จ่ายและรู้จักการจัดการหนี้บัตรเครดิตย่อมเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด

ภาพหลัก via rollingout.com

เรื่องข้างต้นนี้เขียนโดย เชษฐพล มานิตย์ นักเขียนออนไลน์ประจำ DDproperty.com หากมีคำถามเพิ่มเติมสามารถติดต่อได้ที่ chetapol@ddproperty.com

 

อัพเดทข่าวในแวดวงอสังหาริมทรัพย์ ทางอีเมลส่งตรงจากเว็บไซต์อสังหาฯ อันดับ 1 ของเมืองไทยฟรี สมัครได้ที่นี่

 

เขียนความเห็น

ข่าว-บทความอื่นๆ ที่คุณอาจสนใจ

ธอส.ออกโรงแจงเรื่องยกเลิกสวัสดิการเงินกู้ซื้อบ้านของข้าราชการ

ธอส. ออกโรงแจงโครงการสวัสดิการเงินกู้เพื่อที่อยู่อาศัยของข้าราชการที

อ่านต่อ14 พ.ค. 2558