จับตาราคาที่ดินกลางเมืองทะลุตารางวาละกว่า2ล้าน!

Kanchana Paha11 ส.ค. 2558

Rama 4 Road_Lumpini Park view

เซ็นจูรี่ 21 ชี้จับตาดีลซื้อขายที่ดินกลางเมืองราคามีสิทธิ์ทะลุกว่า 2 ล้านบาทต่อตารางวา ในขณะที่ที่ดินใกล้นิคมอุตสาหกรรมแนวโน้มคึกคัก ราคาขึ้นถ้วนหน้า

นายกิตติศักดิ์ จำปาทิพย์พงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัทเซ็นจูรี่ 21 เรียลตี้ แอฟฟิลิเอทส์(ประเทศไทย)จำกัด หรือ เซ็นจูรี่21(ประเทศไทย) เปิดเผยว่าในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2558 ที่ผ่านมาแม้ภาวะของตลาดอสังหาริมทรัพย์โดยรวมจะอยู่ในช่วงที่ค่อนข้างชะลอตัว แต่ผลการดำเนินงานของบริษัทถือว่าอยู่ในระดับที่น่าพอใจ โดยสามารถทำยอดขายรวมได้ 90% ซึ่งคิดเป็นอัตราการเติบโต 30% เมื่อเทียบปีก่อนหน้า

ในด้านการซื้อขายที่ดินนั้น ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของเซ็นจูรี่ 21 กล่าวว่า ปัจจุบันยังมีความเคลื่อนไหวในการซื้อขายที่ดินอย่างต่อเนื่องจากผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ ในขณะเดียวกันก็มีที่ดินในทำเลศักยภาพนำเข้ามาสู่ตลาดอย่างต่อเนื่องทั้งที่เป็นที่ดินตามแนวรถไฟฟ้าสายที่กำลังดำเนินการก่อสร้าง รวมถึงที่ดินที่อยู่ใจกลางเมืองหรือใจกลางย่านธุรกิจ (CBD) ซึ่งส่วนใหญ่เป็นที่ดินที่สิ่งปลูกกสร้างอยู่แล้วทั้งที่เป็นอาคารพาณิชย์เก่าและอาคารเก่าที่เจ้าของที่ดินต้องการขาย

“ที่ดินแปลงที่น่าจับตามองและคาดว่าจะทำลายสถิติการซื้อขายใหม่ด้วยราคาสูงสุด ได้แก่ ที่ดินย่านพระรามสี่-ศาลาแดง ซึ่งผมคาดว่าจะขึ้นแท่นที่ดินที่มีราคาขายต่อตารางวาสุดในกรุงเทพฯ คือสูงกว่าแปลงสุขุมวิท 24 ที่ซื้อขายกันที่ 2 ล้านบาทต่อตารางวา” นายกิตติศักดิ์ กล่าว

นอกจากนี้ที่ดินในเมืองแล้ว ที่ดินในพื้นที่ใกล้กับนิคมอุตสาหกรรม เช่น ศรีราชา ชลบุรี ถือเป็นอีกทำเลหนึ่งที่ปัจจุบันมีการซื้อขายเปลี่ยนมือกันค่อนข้างคึกคัก โดยราคาซื้อขายในปัจจุบันก็เพิ่มขึ้นสูงมาก

“แต่การที่ดีลจะจบหรือไม่จบนั้น ขึ้นอยู่ว่าผู้ซื้อซื้อไปแล้วจะคุ้มค่ากับการลงทุนไหม ตรงนี้น่าจะเป็นตัวสะท้อนว่า ราคาที่ดินควรจะอยู่ที่ราคาไหน”

สำหรับภาพรวมของตลาดอสังหาริมทรัพย์ในช่วงครึ่งปีหลังนี้ นายกิตติศักดิ์มองว่ายังมีหลายปัจจัยลบที่จะส่งผลกระทบให้ตลาดชะลอตัว ไม่ว่าจะเป็นกำลังซื้อที่ไม่น่าจะไล่ทันราคาขายที่ปรับเพิ่มขึ้นจากราคาที่ดินที่ปรับตัวสูงขึ้นอย่างรวดเร็วในบางทำเล หรือบางโครงการที่มีราคาเปิดขายสูงเกินกำลังซื้อ ในขณะที่อัตราการเติบโตของ GDP (ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ) ซึ่งอยู่ที่ระดับ 3% ยังไม่เอื้ออำนวยให้ภาคธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เติบโตแบบก้าวกระโดดดังเช่นในอดีต ส่วนหนี้สินภาคครัวเรือนยังอยู่ในอัตราที่สูง จะทำให้สภาพคล่องในระบบการเงินเกิดภาวะตึงตัว ผลกระทบตามมาก็คือ สถาบันการเงินก็จะมีความระมัดระวังในการปล่อยสินเชื่อที่อยู่อาศัยมากขึ้นนั่นเอง

เรื่องข้างต้นนี้เขียนโดย กาญจนา พาหา บรรณาธิการ DDproperty.com หากมีคำถามเพิ่มเติมสามารถติดต่อได้ที่ kanchana@ddproperty.com

อัพเดทข่าวอสังหาริมทรัพย์ ทางอีเมลส่งตรงจากเว็บไซต์อสังหาฯ อันดับ 1 ของเมืองไทยฟรี สมัครได้ที่นี่

เขียนความเห็น

ข่าว-บทความอื่นๆ ที่คุณอาจสนใจ