บิ๊กผู้ประกอบการศูนย์การค้าวอนรัฐปรับลดภาษีสินค้าแบรนด์เนม!

Kanchana Paha30 ก.ย. 2558

Central Embassy

ผู้ประกอบการศูนย์การค้าเบอร์ใหญ่ของไทยอัดเม็ดเงินลงทุนกว่าแสนล้านผุดโครงการใหม่ๆ ในช่วง 3 ปี ปูพรมรับกำลังซื้อหลังเปิด AEC วอนรัฐปรับลดภาษีสินค้าแบรนด์เนม เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันกับประเทศเพื่อนบ้านได้

นางสาววัลยา จิราธิวัฒน์ นายกสมาคมศูนย์การค้าไทย เปิดเผยว่าสมาคมฯ ยังคงเดินหน้าตามนโยบายหลักคือการพาประเทศไทยสู่การเป็นศูนย์กลางทางด้านธุรกิจการค้า และการท่องเที่ยวที่สำคัญของภูมิภาคและของโลก โดยกลุ่มสมาชิกผู้ประกอบการธุรกิจศูนย์การค้าทั้ง 10 รายในสมาคมฯ ได้ร่วมมือกันทุ่มเม็ดเงินลงทุนในช่วงระหว่างปี 2558-2560 เพื่อพัฒนาโครงการใหม่ๆ ระดับเมกะโปรเจคที่มีขนาดใหญ่กว่า 500,000 ตารางเมตร และโครงการไลฟ์สไตล์ มอลล์ ที่มีความทันสมัยและตอบสนองไลฟ์สไตล์ยุคใหม่มากยิ่งขึ้น

สำหรับสมาชิตของสมาคมฯ ทั้ง 10 ราย ประกอบด้วย บริษัท เอ็มบีเค จำกัด (มหาชน), เดอะมอลล์กรุ๊ป, บริษัท สยาม รีเทล ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด, บริษัท เดอะ แพลทินัม กรุ๊ป จำกัด (มหาชน), บริษัท เค.อี.แลนด์ จำกัด, บริษัท ซีคอน ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน), บริษัท สยามฟิวเจอร์ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน), บริษัท รังสิตพลาซ่า จำกัด, บริษัท สยามพิวรรธน์ กรุ๊ป จำกัด และบริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน)

สำหรับโครงการรีเทลหรือศูนย์การค้าที่เป็นไฮไลท์ในช่วง 3 ปีนี้ ได้แก่ โครงการ ดิ เอ็ม ดิสทริค บนถนนสุขุมวิท, โครงการ เซ็นทรัลพลาซา เวสต์เกต, โครงการ ไอคอน สยาม ที่กำลังอยู่ในระหว่างการก่อสร้าง นอกจากนี้ ยังมีโครงการไลฟ์สไตล์มอลล์ แห่งใหม่อย่าง เซ็นทรัลเฟสติวัล อีสต์วิลล์ รวมถึงโครงการที่มีแผนปรับโฉมและขยายให้มีขนาดใหญ่ขึ้น ได้แก่ โครงการเฟสใหม่ของคริสตัล พาร์ค และโครงการ ZPELL ของฟิวเจอร์ปาร์ค รังสิต
อีกทั้ง ยังมีการลงทุนในหัวเมืองท่องเที่ยวที่สำคัญอย่าง ภูเก็ต ของกลุ่มซีพีเอ็น และเดอะมอลล์ กรุ๊ป และโครงการใหญ่ที่จังหวัดนครราชสีมา ของทั้ง ซีพีเอ็น เดอะมอลล์ กรุ๊ป และ สยาม รีเทล ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด

“ภายในปี 2560 สมาคมฯ จะมีพื้นที่รวมศูนย์การค้ากว่า 14 ล้านตารางเมตร ด้วยมูลค่าการลงทุนถึง 103,000 ล้านบาท อีกทั้งจะมีการรีโนเวทโครงการที่มีอยู่แล้ว ให้มีรูปแบบที่ทันสมัย และตอบสนองไลฟ์สไตล์ยุคใหม่มากขึ้น ทั้งในย่านช้อปปิ้งใจกลางเมืองอย่างแยกปทุมวัน-แยกราชประสงค์-ชิดลม ต่อเนื่องไปบนถนนสุขุมวิท ไปจนถึงย่านพร้อมพงศ์ เพื่อยกระดับย่านเหล่านี้ ให้เป็นจุดหมายปลายทางหลักแห่งการช้อปปิ้งของภูมิภาคเอเชียเทียบเท่าย่านช้อปปิ้งระดับโลก โดยทั้งหมดนี้ คือการรวมพลังกันพัฒนาธุรกิจศูนย์การค้าไทย ให้มีศักยภาพพร้อมรับมือกับการแข่งขันบนเวทีการค้าระดับภูมิภาค เพื่อจุดมุ่งหมายในการเป็นศูนย์กลางการช้อปปิ้งที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกมายังประเทศไทย” นางสาววัลยา กล่าว

ทั้งนี้ ทางสมาคมฯ ได้ให้ความสำคัญเรื่องนโยบายการความปลอดภัยในศูนย์การค้าของไทยที่สูงขึ้น โดยจะนำประเด็นดังกล่าวเช้าหารือในที่ประชุมครั้งต่อไป เพื่อกำหนดนโยบายที่เป็นมาตรฐานตรงกันในทุกศูนย์การค้า เป็นการเรียกคืนความมั่นใจจากนักท่องเที่ยวต่างชาติ และสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้กับประเทศไทย

“ในฐานะนายกสมาคมฯ ดิฉันยังเป็นกระบอกเสียงให้กับผู้ประกอบการค้าในการเรียกร้องให้ภาครัฐบาลสนับสนุนและผลักดันแบรนด์ไทยให้ก้าวไกลไปสู่ต่างประเทศ เปิดโอกาสในการเติบโตทางธุรกิจให้ผู้ประกอบการของไทยขยายตลาดไปยังต่างประเทศ รวมทั้งเรียกร้องให้มีการปรับลดภาษีสินค้านำเข้า เพื่อให้ประเทศไทยสามารถแข่งขันกับประเทศเพื่อนบ้านอย่าง สิงคโปร์ และฮ่องกงได้ เพื่อมุ่งรองรับลูกค้าเป้าหมายกลุ่มจีน อินโดนีเซีย เวียดนาม และรัสเซีย ซึ่งเป็นกลุ่มประเทศที่มีกำลังซื้อสูง โดยหากสามารถดึงคนกลุ่มนี้เข้ามาจับจ่ายในไทยได้ จะเป็นการเพิ่มทั้งปริมาณ และคุณภาพของนักท่องเที่ยว เพื่อให้ประเทศไทยก้าวสู่การเป็น Shopping destination ระดับโลก อย่างสมบูรณ์แบบ” นายกสมาคมฯ กล่าวทิ้งท้าย

เรื่องข้างต้นนี้เขียนโดย กาญจนา พาหา บรรณาธิการ DDproperty.com หากมีคำถามเพิ่มเติมสามารถติดต่อได้ที่ kanchana@ddproperty.com

อัพเดทข่าวอสังหาริมทรัพย์ ทางอีเมลส่งตรงจากเว็บไซต์อสังหาฯ อันดับ 1 ของเมืองไทยฟรี สมัครได้ที่นี่

เขียนความเห็น

ข่าว-บทความอื่นๆ ที่คุณอาจสนใจ