การลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของภาครัฐ หรือที่เรียกว่า“เมกะโปรเจกต์”ที่มีการลงทุนก่อสร้างบางส่วนบ้างแล้วในปี 2559 ด้วยวงเงินรวมประมาณ 1.94 แสนล้านบาท ในขณะที่โครงการอีกจำนวนมากอยู่ในขั้นตอนของการประกวดราคาจากโครงการลงทุนรวมราวๆ 1.7 ล้านล้านบาท
ประมูล 2 ท่าเรือ มูลค่ารวม 3.8 พันล้านบาท
สำหรับโครงการลงทุนของการท่าเรือแห่งประเทศไทย(กทท.) ที่เกิดขึ้นในปีนี้ ได้ประมูลโครงการที่จัดอยู่ในแผนลงทุนขนาดใหญ่ 2 โครงการ มูลค่ารวมประมาณ 3.8 พันล้านบาท คือ 1.ท่าเทียบเรือชายฝั่ง (ท่าเทียบเรือ A) แหลมฉบัง วงเงิน 1.86 พันล้านบาท และ 2.ศูนย์ขนส่งตู้สินค้าทางรถไฟที่ท่าเรือแหลมฉบัง ระยะ 1 วงเงิน 2 พันล้านบาท ซึ่งขณะนี้เอกชนลงพื้นที่ก่อสร้างแล้วตั้งแต่เดือน เม.ย.ที่ผ่านมา และคาดว่าจะเสร็จในปี 2562
ซึ่งทั้งสองโครงการ กทท.ได้ดำเนินการเปิดประกวดราคาได้ตัวผู้รับเหมา และมีการลงพื้นที่ก่อสร้างก่อนแผนกำหนดด้วย โดยผู้ชนะสิทธิ์ในส่วนของท่าเทียบเรือชายฝั่งคือบริษัท เนาวรัตน์พัฒนาการ จำกัด (มหาชน) ลงพื้นที่ก่อสร้างไปแล้วตั้งแต่เดือน เม.ย.ที่ผ่านมา ส่วนงานศูนย์ขนส่งสินค้าทางรถไฟ ผู้ชนะสิทธิ์คือบริษัทอิตัลไทย โดยเริ่มงานก่อสร้างไปแล้วเมื่อ มิ.ย.ที่ผ่านมา ทั้งหมดถือเป็นการลงทุนใหญ่ของ กทท.ที่เกิดขึ้นในปีนี้ อีกทั้งยังดำเนินการได้เร็วกว่าแผนกำหนดด้วย
สุวรรณภูมิเฟส 2 ทยอยเปิดประมูลแล้วเสร็จสมบูรณ์ปี2562
การลงทุนขนาดใหญ่ของการท่าอากาศยานแห่งประเทศไทยหรือ ทอท.ที่จะเกิดขึ้นในปีนี้ก็คือโครงการพัฒนาขีดความสามารถของท่าอากาศยานสุวรรณภูมิเฟส2
โดยเมื่อเร็ว ๆ นี้ ได้มีการลงนามสัญญาจ้าง 3 บริษัทลุยงานอาคารเทียบเครื่อง- ลานจอดอากาศยาน 14,909 ล้านบาท สำหรับการดำเนินโครงการพัฒนาท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ (ปีงบประมาณ 2554-2560) (โครงการพัฒนาสนามบินสุวรรณภูมิเฟสที่2) จาก ครม. เมื่อวันที่ 24 ส.ค. 2553 โดยมีเป้าหมายเพื่อเพิ่มขีดความสามารถของท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ(ทสภ.) ให้สามารถรองรับผู้โดยสารให้เพิ่มขึ้นเป็น 60 ล้านคนต่อปี จากปัจจุบัน 45 ล้านคนต่อปี ซึ่งโครงการประกอบด้วยงานก่อสร้างส่วนขยายอาคารผู้โดยสารด้านทิศตะวันออก งานก่อสร้างอาคารเทียบเครื่องบินรองหลังที่ 1 งานก่อสร้างระบบสาธารณูปโภคและงานจ้างที่ปรึกษาบริหารจัดการโครงการ วงเงินรวม 62,503.214 ล้านบาท
ทั้งนี้ โครงการทั้งหมดจะมีการแบ่งการดำเนินงานออกเป็น 7 งาน ซึ่ง ทอท. ได้ทยอยเปิดการประมูลและยื่นซองเสนอราคางานจ้างก่อสร้างแล้ว 3 งาน ได้แก่ 1.งานอาคารเทียบเครื่องบินรองหลังที่ 1 (ชั้นB2 B1 และชั้นG), ลานจอดอากาศยานประชิดอาคารเทียบเครื่องบินรองหลังที่ 1 และส่วนต่อเชื่ออุโมงค์ด้านทิศใต้(งานโครงสร้างและงานระบบหลัก) ได้ผู้รับเหมาแล้วคือ บริษัทอิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ จำกัด (มหาชน) โดยมีราคาค่างานจ้างก่อสร้างทั้งสิ้น 12,050 ล้านบาท(รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม7%)
2.งานจ้างก่อสร้างระบบสาธารณูปโภค ได้ผู้รับจ้างคือ กิจการค้าร่วม เอส จีน แอดนด์ อินเตอร์ลิงค์ ซึ่งมีราคาค่างานจ้างก่อสร้างทั้งสิ้น 1,980 ล้านบาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม 7%) และ 3.งานจ้างที่ปรึกษาควบคุมงานก่อสร้าง ได้ผู้รับจ้างคือ บริษัทที่ปรึกษา SCS Consortium มีราคาค่าควบคุมงานก่อสร้างทั้งสิ้น 879 ล้านบาท(รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม7%) ซึ่งผลการประมูลราคาทั้ง 3 งาน สามารถประมูลได้ต่ำกว่าราคากลางเป็นเงินทั้งสิ้น 1,655 ล้านบาท มูลค่าการลงทุนรวมภายใต้ 3 สัญญา อยู่ที่ 14,909 ล้านบาท ซึ่งได้มีการลงนามในสัญญาจ้างไปเมื่อวันที่ 25 ส.ค. 2559 โดยมีนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานในพิธีการลงนาม
ส่วนอีก 4 สัญญานั้นจะดำเนินการในขั้นตอนการเปิดการประมูลต่อไป ได้แก่ งานจ้างก่อสร้างอาคารเทียบเครื่องบินรองหลังที่ 1 (ชั้นที่ 2-4) และส่วนต่อเชื่อมอุโมงค์ด้านทิศใต้(งานระบบย่อย) (CC1/2) คาดว่าจะเริ่มงานก่อสร้างได้ในเดือน พ.ย. 2560 งานจ้างก่อสร้างส่วนขยยายอาคารผู้โดยสารทิศตะวันออก อาคารสำนักงานสายการบินและที่จอดรถด้านทิศตะวันออก(CC2)คาดดว่าจะเริ่มงานก่อสร้างได้ในเดือน มี.ค. 2560 งานจัดซื้อพร้อมติดตั้งระบบขนส่งผู้โดยสา อัตโนมัติ(APM)(CC4) คาดว่าจะเริ่มงานก่อสร้างในเดือน ม.ค. 2560 และงานจัดซื้อพร้อมติดตั้งระบบสายพานละเลียงกระเป๋า(BHS)และระบบตรวจจับระเบิด(EDS)(ขาออก)(CC5) คาดว่าจะเริ่มงานก่อสร้างได้ในเดือน ส.ค. 2560 โดยโครงการพัฒนาท่าอากาศสุวรรณภูมิ เฟสที่ 2 นี้ จะแล้วเสร็จภายในเดือน พ.ย. 2562
ชี้ความเชื่อมั่นฟ้าเปิดเมื่อประชาธิปไตยผลัดใบ
สัญญาณการลงทุนที่จะเกิดขึ้นจากการปล่อยโครงการของภาครัฐฯ ออกมาอย่างต่อเนื่องในปี 2559 หากรัฐเร่งลงนามสัญญาจ้างให้แล้วเสร็จในปีนี้ก็เปรียบเสมือนปีแห่งการประมูล ก่อนที่เอกชนจะเริ่มลงทุนก่อสร้างในช่วงปี 2560 และทำให้เป็นปีแห่งการลงทุน
ทั้งนี้ หากรัฐมีเสถียรภาพในการเดินแผนงานก็จะเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมของการสร้างความเชื่อมั่นให้ภาคเอกชนเหมือนเริ่มเห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์แน่นอน และเมื่อเอกชนมั่นใจก็จะเริ่มวางแผนลงทุนธุรกิจในช่วงปี 2561 ซึ่งจะยิ่งผลักดันให้ในปีนั้นกลายเป็นปีแห่งการลงทุนของภาคเอกชนอีกระลอกหนึ่ง
อัพเดทข่าวอสังหาริมทรัพย์ ทางอีเมลส่งตรงจากเว็บไซต์อสังหาฯ อันดับ 1 ของเมืองไทยฟรี สมัครได้ที่นี่
เรื่องข้างต้นนี้เขียนโดย สิณีวรรณ เทศปัญ กองบรรณาธิการ DDproperty.com หากมีคำถามเพิ่มเติมสามารถติดต่อได้ที่ sineewan@ddproperty.com