ข้อควรรู้ก่อนลดหย่อนภาษีด้วย LTF

3 พ.ย. 2559

“กองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) สามารถลงทุนเพื่อลดหย่อนภาษีได้สูงสุดร้อยละ 15 ของเงินได้ทั้งปีที่ต้องเสียภาษี โดยไม่เกิน 500,000 บาท และถือครองหน่วยลงทุนอย่างน้อย 7 ปีปฏิทิน” – K-Expert

 

เมื่อเข้าสู่ช่วงปลายปี หลายคนที่มีหน้าที่ต้องเสียภาษีคงเริ่มมองหาสิทธิลดหย่อนภาษีต่างๆ โดยสิทธิลดหย่อนภาษีทางหนึ่งที่ได้รับความนิยมมากจากผู้ลงทุน คือ การลงทุนในกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) ทั้งนี้ ก่อนที่ผู้ลงทุนจะตัดสินใจลงทุนใน LTF สักกองทุนหนึ่งนั้น มีปัจจัยสำคัญใดบ้างที่ควรพิจารณา K-Expert มีคำตอบมาฝาก

สิทธิซื้อกองทุน
LTF เป็นกองทุนรวมที่ให้สิทธิประโยชน์ทางภาษี กล่าวคือ ผู้ลงทุนสามารถนำเงินที่ลงทุนใน LTF ไปลดหย่อนภาษีเงินได้ประจำปี ดังนั้น ผู้ที่ลงทุนใน LTF จะต้องเป็นผู้ที่มีหน้าที่ต้องเสียภาษี โดยมีเงื่อนไขการลงทุนดังนี้

– ลงทุนได้ไม่เกินร้อยละ 15 ของเงินได้ และไม่เกิน 500,000 บาทต่อปี
– ถือลงทุนไม่น้อยกว่า 7 ปีปฏิทิน (ปี 2559 เป็นปีแรกที่เงินลงทุนใน LTF ต้องถือครองอย่างน้อย 7 ปีปฏิทิน)
– ซื้อปีไหนได้รับการลดหย่อนภาษีในปีนั้น โดยไม่จำเป็นจะต้องซื้อต่อเนื่องทุกปี

ยกตัวอย่างเช่น ปี 2559 มีเงินได้ทั้งปีที่ต้องเสียภาษี 1,000,000 บาท จะสามารถลงทุนใน LTF ได้สูงสุดไม่เกิน 1,000,000 บาท x 15% = 150,000 บาท และเพื่อให้เป็นไปตามเงื่อนไขการลงทุน ยอดเงินลงทุนของปี 2559 ต้องถือลงทุนไปจนถึงปี 2565 (นับปี 2559 ซึ่งเป็นปีที่ลงทุน เป็นปีที่ 1) จึงจะมีสิทธิขายคืนหน่วยลงทุนได้โดยไม่ผิดเงื่อนไข

โดยหากผู้ลงทุนทำผิดเงื่อนไขโดยขายคืน LTF ก่อนครบ 7 ปีปฏิทิน สิ่งที่ผู้ลงทุนต้องปฏิบัติ จะเป็นดังนี้
– ต้องคืนเงินภาษีที่ได้รับการลดหย่อนจากการซื้อหน่วยลงทุน LTF
– เงินค่าปรับร้อยละ 1.5 ต่อเดือนของจำนวนเงินภาษีที่ได้รับการลดหย่อน นับตั้งแต่เดือนเมษายนของปีที่ผู้ลงทุนยื่นขอยกเว้นภาษี จนถึงเดือนที่มีการยื่นคืนเงินภาษี
– กำไรส่วนเกินมูลค่าหน่วยลงทุนที่ได้รับจากการขาย ต้องนำไปรวมคำนวณเป็นเงินได้เพื่อเสียภาษี

นอกจากนี้ หากผู้ลงทุนซื้อ LTF เกินสิทธิที่ได้รับ (ลงทุนได้ไม่เกินร้อยละ 15 ของเงินได้ทั้งปีที่ต้องเสียภาษี และไม่เกิน 500,000 บาทต่อปี) เฉพาะส่วนที่ซื้อเกินสิทธิ ไม่ว่าจะถือหน่วยลงทุนนั้นเป็นระยะเวลาเท่าใดก็ตาม กำไรส่วนเกินมูลค่าหน่วยลงทุน ต้องนำไปรวมคำนวณเป็นเงินได้เพื่อเสียภาษี

ดังนั้น ก่อนลงทุนใน LTF เพื่อลดหย่อนภาษี ผู้ลงทุนควรประเมินเงินได้ทั้งปีที่ต้องเสียภาษี เพื่อคำนวณสิทธิซื้อหน่วยลงทุน LTF จะได้ไม่ซื้อเกินสิทธิสูงสุดที่สามารถซื้อได้ (อ่านเพิ่มเติม : เรียนรู้การลดหย่อนภาษีด้วย LTF)

นโยบายการลงทุน
LTF มีนโยบายลงทุนในหุ้นโดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่าร้อยละ 65 ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน ผู้ลงทุนจึงควรรับความเสี่ยงจากการลงทุนในหุ้นได้ ทั้งนี้ หากไม่ต้องการรับความเสี่ยงจากหุ้นมากนัก อาจเลือก LTF ที่มีการกำหนดสัดส่วนการลงทุนในหุ้น เช่น LTF ที่มีนโยบายลงทุนในหุ้นโดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่เกินร้อยละ 70 ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน แต่หากรับความเสี่ยงได้สูง สามารถเลือก LTF ที่ไม่มีการกำหนดสัดส่วนการลงทุนในหุ้น ซึ่งมีโอกาสรับผลตอบแทนที่สูงขึ้น แต่ต้องยอมรับความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นด้วยเช่นกัน

สำหรับผลตอบแทนที่ได้รับจากการลงทุนใน LTF นอกจากภาษีที่ประหยัดได้แล้ว ผู้ลงทุนยังมีโอกาสได้รับผลตอบแทนในรูปของ
– กำไรส่วนเกินมูลค่าหน่วยลงทุน (Capital Gain) จะได้รับเมื่อผู้ลงทุนขายคืนหน่วยลงทุนได้ในราคาสูงกว่าราคาที่ซื้อมา ซึ่งผลตอบแทนรูปแบบนี้ไม่เสียภาษี (หากลงทุนถูกต้องตรงเงื่อนไขของ LTF)
– เงินปันผล (Dividend) กรณีที่ลงทุนใน LTF ที่มีนโยบายจ่ายเงินปันผลจะทำให้ผู้ลงทุนมีโอกาสได้รับเงินปันผลเมื่อกองทุนมีกำไรและประกาศจ่ายเงินปันผล ทั้งนี้ ผลตอบแทนในรูปเงินปันผล จะต้องเสียภาษี โดยผู้ลงทุนสามารถเลือกได้ว่าจะให้หักภาษี ณ ที่จ่ายร้อยละ 10 หรือเลือกนำไปรวมกับเงินได้ประจำปีเพื่อเสียภาษีตามฐานภาษี ซึ่งแนะนำให้เลือกหักภาษี ณ ที่จ่าย

ข้อดีของการลงทุนใน LTF ที่ไม่มีนโยบายจ่ายเงินปันผล คือ ผลตอบแทนที่ผู้ลงทุนได้รับทั้งหมดไม่ต้องเสียภาษี ในขณะที่ LTF ที่มีนโยบายจ่ายเงินปันผล ช่วยให้ผู้ลงทุนมีโอกาสได้รับผลตอบแทนหรือเงินปันผลระหว่างที่ต้องถือหน่วยลงทุนเป็นเวลาอย่างน้อย 7 ปีปฏิทิน

ผลการดำเนินงาน
ผู้ลงทุนส่วนใหญ่มักสนใจผลตอบแทนในรอบปีนั้นๆ โดยพิจารณาเพียงผลการดำเนินงานย้อนหลัง 3 เดือน 6 เดือน หรือ 1 ปี แต่จริงๆ แล้ว การลงทุนใน LTF มีระยะเวลาลงทุนอย่างน้อย 7 ปีปฏิทิน ดังนั้น ผู้ลงทุนควรดูผลการดำเนินงานย้อนหลังระยะเวลาที่ยาวขึ้นประมาณ 5 ปี และควรให้ความสำคัญกับความสม่ำเสมอของผลการดำเนินงานมากกว่าการให้ผลตอบแทนสูงในเพียงช่วงระยะเวลาหนึ่งเท่านั้น

แม้ว่าผลการดำเนินงานในอดีตของกองทุนรวมไม่ได้เป็นหลักประกันว่า กองทุนรวมนั้นๆ จะให้ผลตอบแทนในอนาคตลักษณะเดียวกันกับที่ผ่านมา เช่น กองทุนรวมที่เคยมีผลตอบแทนสูงอยู่ในอันดับต้นๆ อาจไม่จำเป็นต้องมีผลตอบแทนสูงในอีกช่วงเวลาหนึ่งเสมอไป และในทางกลับกัน กองทุนรวมที่เคยมีผลตอบแทนเป็นอันดับท้ายๆ อาจไม่จำเป็นต้องมีผลตอบแทนเป็นอันดับท้ายๆ ตลอดไป อย่างไรก็ตาม ข้อมูลผลการดำเนินงานย้อนหลังสามารถช่วยให้ผู้ลงทุนมองเห็นความสม่ำเสมอของการดำเนินงานของกองทุนรวม และเป็นข้อมูลเปรียบเทียบกองทุนรวมได้

สุดท้ายนี้ผู้ที่มีหน้าที่ต้องเสียภาษีสามารถประหยัดภาษีได้ด้วยการลงทุนใน LTF ทั้งนี้ LTF มีนโยบายเน้นลงทุนในหุ้น ผู้ลงทุนจึงควรรับความเสี่ยงจากการลงทุนในหุ้นได้ และก่อนที่จะตัดสินใจซื้อ LTF สักกองทุนหนึ่งนั้น อย่าลืมตรวจสอบสิทธิที่สามารถลงทุนได้ เพื่อให้เป็นไปตามเงื่อนไขของการลงทุน

สามารถอ่านบทความเกี่ยวกับไฟแนนซ์เพิ่มเติมได้ที่ www.ddproperty.com/ข่าวอสังหาริมทรัพย์-บทความ/category/th-fn รวมถึงรีวิวโครงการบ้านและคอนโดมิเนียมใหม่ๆ ที่คุณอาจสนใจเพื่อเป็นอีกทางเลือกหนึ่งในการลงทุนหรือหาที่อยู่อาศัย

 

เรื่องข้างต้นนี้เขียนโดย นิชฌานี ฉันทศาสตร์ CFP  K-Expert ฝ่ายวางแผนและให้คำปรึกษาลูกค้าบุคคล ธนาคารกสิกรไทย หากมีข้อสงสัยหรือต้องการปรึกษาวางแผนเพิ่มเติม สามารถปรึกษากับ K-Expert ธนาคารกสิกรไทย ได้ที่ K-Expert@kasikornbank.com
เขียนความเห็น

ข่าว-บทความอื่นๆ ที่คุณอาจสนใจ

3 ข้อแนะนำ รับมือกับภาวะหุ้นตก

“การศึกษาข้อมูลของหุ้นที่เราลงทุนสม่ำเสมอ และติดตามสถานการณ์ลงทุน จะ

อ่านต่อ6 ก.ย. 2559