โกลเด้นแลนด์ เชื่อปีหน้า ตลาดแนวราบสดชื่นกว่าปีนี้ ลุยเปิด 21 โครงการ พิชิตเป้าขาย 1.8 หมื่นล้านบาท พร้อมปูทางชิงตลาดต่างจังหวัดครั้งแรกย่านศรีราชา ผุดทาวน์โฮมราคาเริ่มต่ำกว่า 2 ล้านบาทจับตลาดลูกค้ากินเงินเดือน
นายแสนผิน สุขี กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท แผ่นดินทอง พร็อพเพอร์ตี้ ดีเวลออปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) หรือ GOLD เปิดเผย 3 กลยุทธ์การตลาดปี 60 ดังนี้ 1.พัฒนาโครงการขนาดใหญ่ คอนเซ็ปต์มิกซ์โปรดักต์ บุก 3 ทำเลทอง ย่านแจ้งวัฒนะ, ลาดพร้าว-เกษตรนวมินทร์ และสาทร-กัลปพฤกษ์ 2.ต่อยอดความสำเร็จจากแบรนด์บ้านหรูในเครือ “เดอะ แกรนด์” ปัจจุบันมี 4 ทำเล ประกอบพระราม 2, ประชาอุทิศ, บางนา, ปิ่นเกล้า และ 3.เน้นเจาะตลาดบ้านแฝด นำเสนอฟังก์ชันเทียบเท่าบ้านเดี่ยว เพื่อให้สามารถนำเสนอราคาไม่เกินหลังละ 5 ล้านบาท
ด้านแผนการดำเนินงาน ในปี 60 จะเปิดโครงการใหม่ 21 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 2.1 หมื่นล้านบาท แบ่งเป็น ทาวน์โฮม 17 โครงการ บ้านแฝด 3 โครงการ และบ้านเดี่ยว 1 โครงการ ทั้งในกรุงเทพฯและต่างจังหวัด โดยวางแผนรายไตรมาสดังนี้ ไตรมาส 1/60 เปิด 3 โครงการ ทาวน์โฮม ย่านวงศ์สว่าง-รัชดา ย่านลาดกระบัง และย่านบางนา-สวนหลวง ส่วนไตรมาส 2/60 และไตรมาส 3/60 จะเปิด 5 โครงการใหม่ หนึ่งในนั้น จะเป็นโครงการในต่างจังหวัด เป็นทาวน์โฮม “โกลเด้นทาวน์ ศรีราชา-9 กิโล บนเนื้อที่ 40 ไร่ จำนวน 400 ยูนิต ราคาขาย 1.59-2.3 ล้านบาท/ยูนิต ซึ่งเป็นโครงการเดียวที่เปิดในต่างจังหวัดในปีหน้า ส่วนไตรมาส 4/60 จะเปิดโครงการใหม่ทั้งหมด 8 โครงการ
ขณะที่ราคาขายโครงการของบริษัทนั้น ทาวน์โฮม 2 ชั้น ยังคงอยู่ในช่วง 1.99-3.5 ล้านบาท/ยูนิต, ทาวน์โฮม 3 ชั้น อยู่ในช่วง 3.5-5 ล้านบาท/ยูนิต, บ้านแฝด 4-4.5 ล้านบาท/ยูนิต และ บ้านเดี่ยว 5-8 ล้านบาท/ยูนิต โดยเฉพาะโครงการบ้านเดี่ยวนั้น บริษัทจะพยายามคงราคาขายไว้เท่าเดิม แม้ว่าจะได้รับผลกระทบจากต้นทุนค่าก่อสร้างที่ปรับเพิ่มขึ้นไนปีหน้า ทำให้ต้นทุนการก่อสร้างเพิ่มขึ้น แต่เชื่อว่าจะเพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อย เพราะต้นทุนวัสดุก่อสร้างยังทรงตัว
และนับจากนี้ ตั้งแต่ปี 60 ทางบริษัทจะซื้อที่ดินตุน เพื่อรองรับการพัฒนาโครงการในอนาคต โดยวางงบซื้อที่ดินในปีหน้าไว้ที่ 7.8 พันล้านบาท จากปีนี้ที่ใช้ไป 5 พันล้านบาท และในปี 61 ตั้งงบซื้อที่ไว้ 15,000 ล้านบาท จะเน้นการซื้อที่ดินแปลงใหญ่ ขนาด 100 ไร่ เพื่อรองรับการพัฒนาโครงการในปีถัดไป ซึ่งบริษัทยังเน้นการพัฒนาโครงการทาวน์โฮมอย่างต่อเนื่อง และเพิ่มสัดส่วนการพัฒนาโครงการบ้านแฝดเพื่อตอบโจทย์ลูกค้าที่ต้องการบ้านหลังใหญ่และต้องการอยู่อาศัยในเมือง
ขณะที่ภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ประเภทแนวราบในปี 60 ประเมินสถานการณ์ว่ายังมีแนวโน้มที่เติบโตได้ดีกว่าเมื่อเทียบกับปี 59 ที่ความต้องการซื้อที่อยู่อาศัยยังมีอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะโครงการแนวราบที่ลูกค้าส่วนใหญ่ซื้อเพื่ออยู่อาศัยจริง อีกทั้งแนวโน้มเศรษฐกิจที่คาดว่าจะเติบได้อยู่ในระดับ 3% รับผลดีการลงทุนของภาครัฐที่เข้ามาช่วยกระตุ้นกำลังซื้อ และทำให้ผู้บริโภคมีความมั่นใจเพิ่มขึ้น ประกอบกับ ภาคการท่องเที่ยวยังเติบโตอย่างต่อเนื่องเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ช่วยผลักดันเศรษฐกิจ
ด้านปัจจัยเสี่ยง พบว่า ภาวะหนี้สินครัวเรือนที่ยังอยู่ระดับสูงในอัตรา 80% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ซึ่งมีผลต่อการอนุมัติสินเชื่อของธนาคาร และแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยในประเทศมีโอกาสปรับตัวขึ้น ซึ่งบริษัทยังเชื่อว่าอัตราการปฏิเสธสินเชื่อลูกค้าที่ซื้อโครงการของบริษัทในปี 60 จะยังคงอยู่ที่ระดับ 35-40% แนวโน้มไม่ได้ลดลง เพราะธนาคารยังคงมีความเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อ โดยเฉพาะกลุ่มพ่อค้าแม่ค้า ขณะที่กลุ่มกินเงินกำลังซื้อสูงและไม่มีปัญหาการผ่อนชำระ โดยวิธีการทำตลาดสำหรับลูกค้ากินเงินเดือน จะเน้นการสื่อสารผ่านออนไลน์ มาเก็ตติ้งเป็นหลัก
ทั้งนี้ ทางบริษัทยังมีแนวคิดจะนำนวัตกรรมในการก่อสร้างใหม่เข้ามาใช้ เพื่อย่นระยะเวลาการก่อสร้างโครงการบ้านเดี่ยวและทาวน์โฮม เพื่อให้สามารถส่งมอบได้เร็วมากขึ้น โดยใช้เวลาในการก่อสร้างให้แล้วเสร็จภายใน 2 เดือน จากปัจจุบันอยู่ที่ 3 เดือน และบ้านเดี่ยวก่อสร้างเสร็จใช้เวลา 4 เดือน ซึ่งการก่อสร้างที่รวดเร็วนั้น จะทำให้บริษัทรับรู้รายได้เข้ามาได้เร็วขึ้นด้วย ดังนั้น บริษัทจึงมั่นใจว่าจะมีรายได้เป็นไปตามแผน 5 ปี (ปี 59-63) ที่ตั้งไว้ว่าในปี 63 จะมีรายได้อยู่ที่ 2.5 หมื่นล้านบาท และเป็นผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ในตลาดหลักทรัพย์ติด 1 ใน 5 ในแง่รายได้ จากปัจจุบันอยู่ที่ลำดับที่ 8 หรือ 9
อัพเดท ข่าวอสังหาริมทรัพย์ ทางอีเมลส่งตรงจากเว็บไซต์อสังหาฯ อันดับ 1 ของเมืองไทยฟรี สมัครได้ที่นี่ หรืออ่านรีวิวโครงการบ้านและคอนโดฯใหม่
เรื่องข้างต้นนี้เขียนโดย สิณีวรรณ เทศปัญ กองบรรณาธิการ DDproperty.com หากมีคำถามเพิ่มเติมสามารถติดต่อได้ที่ sineewan@ddproperty.com