ล้วงลูก“พฤกษา” เหตุไฉนปรับโครงสร้างใหม่เป็น“โฮลดิ้ง”!

23 ก.พ. 2559

พฤกษา ปรับโครงสร้างใหม่เป็น “โฮลดิ้ง” พร้อมเดินหน้าลงทุนธุรกิจใหม่ขยายการเติบโตอย่างยั่งยืน ตั้งเป้ารายได้แตะแสนล้าน ภายใน 5 ปี

“พฤกษา” สร้างความตื่นเต้นให้กับวงการอสังหาริมทรัพย์ไทย หลังจากช่วงบ่าย (14.00 น.) ของวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2559 ได้มีมติขอถอนหุ้นของบริษัทออกจากเป็นหลักทรัพย์จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ซึ่งทาง บริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน) ได้ทำการจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เมื่อวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2548

และสาเหตุกรณีการขอถอนหุ้นออกจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และจัดตั้ง บริษัทโฮลดิ้ง ภายใต้ชื่อบริษัท พฤกษา โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) โดยจะเสนอซื้อหุ้นทั้งหมดของบริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท ด้วยการแลกหุ้นกับบริษัท โฮลดิ้ง ก่อนที่จะนำบริษัทโฮลดิ้งเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แทน เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ในการสร้างธุรกิจที่ยั่งยืนและมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง

นายทองมา วิจิตรพงศ์พันธ์ุ ประธานกรรมการบริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ กล่าวว่า สำหรับการลงทุนในธุรกิจใหม่ของพฤกษา โฮลดิ้ง จะเป็นธุริจที่สร้างรายได้ระยะยาวทั้งที่เกี่ยวเนื่องกับธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ หรือเป็นธุรกิจอื่นทั้งในและต่างประเทศ อาทิ อาคารสำนักงาน โรงแรม ห้างสรรพสินค้า อพาร์ตเมนท์ เป็นต้น ซึ่งการลงทุนในธุรกิจใหม่อาจมีหลากหลายรูปแบบทั้งการลงทุนเอง ซื้อกิจการ ร่วมทุนกับพันธมิตร โดยธุรกิจใหม่ที่จะลงทุนจะต้องมี 3 ส่วนหลัก คือ 1.ต้องเป็นธุรกิจที่สามารถกระจายความเสี่ยงจากธุรกิจเดิมได้ 2. ต้องเป็นธุรกิจที่ให้ผลตอบแทนไม่น้อยกว่าธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่บริษัทดำเนินการอยู่ และ3.ต้องเป็นดิวที่สามารถเจราต่อรองได้

ส่วนความคืบหน้าในการปรับโครงสร้างนั้น ปัจจุบันอยู่ระหว่างรอเสนอที่ประชุมกับผู้ถือหุ้นอนุมัติในช่วงเดือนเมษายนนี้ ซึ่งหากผู้ถือหุ้นอนุมัติเรียบร้อยแล้ว บริษัทจะทำการยื่นเรื่องขอออกจากตลาดหลักทรพัย์กับสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ หรือ ก.ล.ต. พร้อมกับนำบริษัท พฤกษาโฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) เข้าตลาดหลักทรัพย์ใหม่อีกครั้ง ทั้งนี้คาดว่าการดำเนินการทั้งหมดน่าจะแล้วเสร็จได้ภายในเดือนพฤศจิกายน 2559 ทั้งนี้ภายหลังการปรับโครงสร้างธุรกิจ บริษัทคาดว่าในช่วง 5-10 ปีแรกจะมีรายได้จากธุรกิจหลักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่อขายในสัดส่วน 80% ส่วนรายได้จากธุรกิจใหม่ อื่นๆ ประมาณ 20%

ที่สำคัญ การปรับโครงการสร้างใหม่ในครั้งนี้ เพื่อให้ทางพฤกษา มีความคล่องในการทำธุรกิจใหม่ๆ พร้อมการสร้างการเติบโตต่อเนื่องในระยะยาว โดยมีการตั้งเป้า ภายในปี 2563 พฤกษาจะมีรายได้แตะที่ 1 แสนล้านบาท ขณะที่ธุรกิจใหม่ที่จะทำนั้นจะมีทั้งธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับอสังหาริมทรัพย์และไม่เกี่ยวข้องก็เป็นได้ทั้งหมด

ด้านนายเลอศักดิ์ จุลเทศ รองประธานกรรมการบริหารและกรรมการผู้อำนวยการ กล่าวเสริมว่า จากปีที่ผ่านมา ทางบริษัทฯ ประสบความสำเร็จ มาจากการนำเทคโนโลยีที่ทันสมัยอย่าง Pruksa Precast และ Pruksa REM มาใช้ในการพัฒนาที่อยู่อาศัยรวมถึงมีการวิจัยและพัฒนาอย่างต่อเนื่องไม่ว่าจะเป็นการปรับปรุงคุณภาพทุกกระบวนการก่อสร้าง รวมถึงวัสดุ-อุปกรณ์ที่ใช้ จึงส่งผลให้รอบธุรกิจโดยเฉพาะโครงการจัดสรรแนวราบ(ทาวน์เฮาส์และบ้านเดี่ยว) ของบริษัทสั้นลง จากระยะเวลาจองถึงโอน ลดลงเหลือเพียง 79 วัน ซึ่งจากปี 2557 ที่ใช้ระยะเวลา 87 วัน ทำให้เกิดการหมุนเวียนของทรัพย์สินที่รวดเร็ว และทำให้บริษัทฯ มีรายได้ และกำไรสุทธิเพิ่มสูงขึ้น

PS

นอกจากนี้ เพื่อเป็นการสนับสนุนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลผ่านธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ที่ให้สิทธิ์ลดหย่อนค่าธรรมเนียมการโอนและค่าจดจำนอง เหลือเพียง 0.01% โดยจะสิ้นสุดในเดือนเมษายน นี้ ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายของบริษัทฯ ที่ต้องการช่วยให้พี่น้องประชาชน ที่ต้องการที่อยู่อาศัยที่ดีมีคุณภาพและในราคาที่เหมาะสม จึงได้จัดกิจกรรมส่งเสริมการขายครั้งยิ่งใหญ่อีกครั้ง หลังจากที่ประสบความสำเร็จเป็นอย่างสูงในปีที่ผ่านมา ภายใต้ชื่อ “โอกาสทองของคนรักบ้าน Pruksa Best Buy Moment 2016” ระหว่างวันที่ 1 มีนาคม – 28 เมษายน 2559 โดยจะมีการมอบสิทธิพิเศษให้กับลูกค้าได้รับโชคถึง 3 ชั้น เมื่อเลือกซื้อบ้านเดี่ยว ทาวน์เฮาส์ หรือคอนโดมิเนียม พร้อมอยู่ของพฤกษาในโครงการใดก็ได้ที่มีถึง 157 โครงการ มูลค่ารวม 13343 ล้านบาท สำหรับโชค 3 ชั้น ประกอบด้วย ชั้นที่ 1 รับสิทธิพิเศษทันทีที่แต่ละโครงการมอบให้ ชั้นที่ 2 รับส่วนลดพิเศษเพิ่มอีกสูงสุดถึง 2% และชั้นที่ 3 รับสิทธิ์ลุ้นรางวัลใหญ่ เป็นรถเมอร์เซเดส-เบนซ์ และทองคำ รวมมูลค่ากว่า 10 ล้านบาท

สำหรับผลประกอบการในปี 2558 ที่ผ่านมา พฤกษา สามารถทำสถิติยอดขายใหม่ โดยทำได้ 42,386 ล้านบาท เติบโต 8.4%จากปี 2557 ที่มียอดขาย 39,090 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 7,680 ล้านบาท เติบโต 15.4% จากปี 2557 ที่มีกำไรสุทธิ 6,655 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม คาดการณ์ว่าแนวโน้มมูลค่าตลาดอสังหาริมทรัพย์ ปี 2559 ในเขตกรุงเทพ และปริมณฑลจะเติบโต 8% โดยผลประกอบการที่เติบโตสูงขึ้นนั้น มาจากการที่บริษัทฯ เน้นกลุ่มลูกค้าที่เป็นReal Demand ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีความต้องการซื้อเพื่อการอยู่อาศัยอย่างแท้จริง

เรื่องข้างต้นนี้เขียนโดย สิณีวรรณ เทศปัญ กองบรรณาธิการ DDproperty.com หากมีคำถามเพิ่มเติมสามารถติดต่อได้ที่ sineewan@ddproperty.com

อัพเดทข่าวอสังหาริมทรัพย์ ทางอีเมลส่งตรงจากเว็บไซต์อสังหาฯ อันดับ 1 ของเมืองไทยฟรี สมัครได้ที่นี่

เขียนความเห็น