เปิดโผรายได้ “โดนัลด์ ทรัมป์” ว่าที่ ปธน.ลุงแซมคนต่อไป?

ดูเหมือนตอนนี้ข่าวการค้นหาตัวแทนผู้สมัครเข้าชิงตำแหน่งประธานาธิบดีคนใหม่ของสหรัฐอเมริกากำลังได้รับการจับตาจากคอการเมืองทั่วโลก เพราะแคมเปญหาเสียงจาก 2 พรรคใหญ่อย่างฝั่ง Republican (GOP) และ Democrat กำลังเข้มข้นทุกขณะ โดยผู้ที่มีคะแนนนำจากพรรคทั้งสองคือ ฮิลลารี่ คลินตัน (Democrat) และโดนัลด์ ทรัมป์ (GOP) โดยเฉพาะรายหลังดูจะได้รับความสนใจจากทั่วโลก ไม่เพียงเพราะคารมที่เชือดเฉือน หรือทรงผมกระชากสายตา  แต่ “โดนัลด์ ทรัมป์” คนนี้คือหนึ่งในมหาเศรษฐีชื่อดังของแดนลุงแซมเลยทีเดียว  เรามาดูกันว่ารายได้ของเขามาจากไหน (รายงานฉบับนี้เป็นฉบับที่ทรัมป์รายงานต่อ Federal Election Commission หรือฝ่ายที่ตรวจที่มาของรายได้ของผู้ลงแข่งขันการเลือกตั้ง) ตัวเลขต่อไปนี้คำนวณจากช่วงมกราคม 2557 – มิถุนายน 2558

สนามกอล์ฟและรีสอร์ท: 243.5 ล้านเหรียญ

นอกจากจะเป็นเจ้าพ่อด้านอสังหาริมทรัพย์แล้ว เศรษฐีผมกระเซิงคนนี้ยังเป็นเจ้าของสนามกอล์ฟและรีสอร์ทด้วยเช่นกัน โดยรายได้จากสองส่วนนี้คิดเป็นสัดส่วนเกือบครึ่งของรายได้รวม
ผืนที่ดินที่เป็นที่ตั้งของรีสอร์ทและสนามกอล์ฟนี้มีชื่อว่า Trump National Doral ใน Miami มีพื้นที่กว่า 800 เอเคอร์ (3.2 ล้านตารางเมตร) ซึ่งเป็นที่ตั้งของสนามกอล์ฟ Blue Monster และโรงแรมขนาด 700 ห้อง ซึ่งโรงแรมนี้สร้างรายได้ต่อปีให้เขาประมาณ 50 ล้านเหรียญ (ประมาณ 1.74 พันล้านบาท) ในช่วง 18 เดือน (ของการเก็บข้อมูล)
นอกจากนี้ ทรัมป์ยังรับเหนาะๆ อีก 27.2 ล้านเหรียญจากรายได้ผ่าน Trump International Hotel & Tower ซึ่งเป็นอาคารสูง 64 ชั้นที่ฝังกระจกด้วยทองคำ 24 กะรัตตั้งอยู่ในลาสเวกัส

อสังหาริมทรัพย์: 135.8 ล้านเหรียญ

มูลค่าการขายคอนโดฯ ที่เข้ากระเป๋าทรัมป์นั้นสูงถึง 77 ล้านเหรียญในช่วง 18 เดือนที่ผ่านมา โดยจำนวนกว่าครึ่งมาจาก Trump International Hotel & Tower ที่ตั้งอยู่ใกล้อาคารประวัติศาสตร์อย่าง Wrigley (ในชิคาโก) และในขณะรายงานข้อมูลนี้ก็มีข่าวว่าเจ้าพ่ออสังหาฯ คนนี้ได้ขายเพิ่มไปอีก 1 ยูนิตมูลค่า 17 ล้านเหรียญ (ข้อมูลจากโบรคเกอร์ Coldwell Banker ที่ทำงานอยู่ในย่านนั้น) ถึงกระนั้น ทรัมป์ยังคงมียูนิตที่รอปล่อยขายอยู่อีกเช่นกัน

นอกจากจะรวยจากอาคารและตึกสูงต่างๆ แล้ว ทรัมป์ยังรวยจากการปล่อยเช่าที่ดินให้กับตึกต่างๆ อีก 21 อาคาร รวมถึงสินทรัพย์อื่นๆ ที่ตั้งอยู่บนพื้นที่เดียวกัน โดยโกยได้อีก 41 ล้านเหรียญในส่วนนี้ จากจำนวนนี้ยังได้มาจากการให้เช่าเครื่องบินส่วนตัวด้วย
นอกจากปล่อยเช่าก็ยังไปบริหารให้กับอสังหาฯ อื่นๆ อีกผ่านบริษัท Trump Corporation และ Trump International Hotel Hawaii ที่เรียกเก็บค่าธรรมเนียมการจัดการ (management fees) ได้อีก 17.6 ล้านเหรียญ

คอมเพล็กซ์และศูนย์รวมความบันเทิง: 28.1 ล้านเหรียญ

ทรัมป์ยังขอเข้าไปเอี่ยวในอสังหาฯ ประเภทนี้ด้วยในลักษณะร่วมทุน (holdings) ไว้ โดยคอมเพล็กซ์ที่ว่าได้แก่ ลานสเก็ตน้ำแข็งใกล้กับ เซ็นทรัลพาร์คในนิวยอร์ก ที่เขาโกยรายได้ประมาณ 8.7 ล้านเหรียญ อีกทั้งยังได้รายได้จากคอมเพล็กซ์ในลักษณะเดียวกันที่ตั้งใกล้กับม้าหมุนเซ็นทรัลพาร์ค (Central Park Carousel) อีก 6 แสนเหรียญ
นอกจากนี้ เขายังขายหุ้นมูลค่า 3.4 ล้านเหรียญจากรายการประกวดนางงามจักรวาลอย่าง Miss Universe ส่วนสาเหตุที่ต้องขายเพราะเจ้าตัวดันไปพูดจาเหยียดเชื้อชาติเกี่ยวกับผู้อพยพชาวแม็กซิกันเลยโดนพวกเหล่านางงามแบน

รายได้จากหุ้น: 15 ล้านเหรียญ

ทรัมป์ยังโยกเงินไปลงทุนหลายล้านเหรียญกับหลักทรัพย์ผ่านกองทุนรวมต่างๆ รวมถึงสร้างพอร์ตหุ้นในฐานะนักลงทุนรายย่อยที่เน้นหุ้นตัวใหญ่ในตลาด Wall Street อย่าง Apple (ชื่อในตลาดหลักทรัพย์: APPL), Coke (C), Altrai (MO) และ Pepsi (PEP) อีกทั้งยังกระจายความเสี่ยงไปยังทองคำประมาณ 100,000 เหรียญ แต่ดูเหมือนกำไรยังคงไม่ได้ถูกรายงานเข้ามาผ่านช่องทางการลงทุนนี้

ขายชื่อ: 9.3 ล้านเหรียญ

รู้หรือไม่ว่าการจะให้สินค้ามีคำว่า “Trump” หรือการมีชื่อเขาในบอร์ดบริหารหรือเป็นที่ปรึกษาบริษัทก็ต้องเสียเงินด้วย โดยรายได้จุดนี้ทำเงินให้เขา 9.3 ล้านเหรียญในช่วงเวลาสำรวจ

ขายวาทะ: 1.75 ล้านเหรียญ

การที่เชิญเขาไปพูดหรือเป็นแขกรับเชิญก็ต้องเสียค่าธรรมเนียมด้วยเหมือนกัน โดยลูกค้าประจำที่ชื่นชอบวาทศิลป์ของเขาเป็นพิเศษคือบริษัท ACN (บริษัทให้บริการอินเตอร์เน็ตไร้สาย, home security และเคเบิ้ลทีวี) ที่สัดส่วนรายได้ในส่วนนี้มาจากบริษัทนี้ถึง 80%

หนังสือก็ด้วย: 85,000 เหรียญ

ถึงจะรวย ทรัมป์ก็ไม่ทิ้งงานเขียนหนังสือ โดยเขียนไปแล้ว 15 เล่ม แต่ที่ดังและสร้างกำไรจริงๆ มีเพียง 4 เล่มเท่านั้นนั่นคือ Think Like a Champion, The Art of the Deal, Time to Get Tough และ The Midas Touch

ดังนั้นจึงขอทิ้งท้ายด้วยคำพูดของ โดนัลด์ ทรัมป์ ว่าที่ประธานาธิบดีคนต่อไปของสหรัฐ (หรือเปล่า?) กับวลีที่ว่า “ผมคิดแต่เรื่องใหญ่ๆ ซึ่งผมคิดแบบนี้อยู่เสมอ ง่ายๆสั้นๆ ถ้าจะคิดแล้ว ให้คิดแต่เรื่องใหญ่ๆ จำไว้!” โดยข้อความนี้ปรากฏในหนังสือ The Art of the Deal ที่วางขายครั้งแรกเมื่อปี 2530

แหล่งอ้างอิง: CNNmoney

ที่มารูปภาพ: Getty Image, Megan Pendergrass, CNNMoney

เรื่องข้างต้นนี้เรียบเรียงโดย ชัยสิทธิ์ บุนนาค Content Writer ประจำ DDproperty.com หากมีคำถามเพิ่มเติมสามารถติดต่อได้ที่ chaiyasit@ddproperty.com