6 ยุทธศาสตร์จัดการน้ำดับภัยแล้ง 12 ปีจากภาครัฐ

Chetapol Manit20 เม.ย. 2559

น้ำนั้นเป็นองค์ประกอบสำคัญในการรักษาสมดุลของระบบต่างๆ ของร่างกาย ดังนั้นการกล่าวว่าน้ำคือชีวิตก็คงไม่เกินไปจากความเป็นจริง แม้ว่าเราจะใช้น้ำไปเพื่อการอุปโภคบริโภคคิดเป็นสัดส่วนเพียง 4% ของปริมาณการใช้น้ำทั้งหมด แต่ปัญหาภัยแล้งนั้นสร้างความเดือดร้อนไปทุกภาคส่วนโดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาคเกษตรกรรมที่มีความต้องการใช้น้ำในการเพาะปลูก เลี้ยงสัตว์มากถึง 71% ของความต้องการใช้น้ำทั้งหมด

แม้ว่าจากรายงานล่าสุดโดยกระทรวงเกษตรและสหกรณ์รายงานสถานการณ์น้ำในอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่พบว่ามีเหลืออยู่ 25% ซึ่งเพียงพอไปจนถึงเดือนกรกฎาคม แต่สำหรับอุปโภคบริโภค และรักษาระบบนิเวศเท่านั้น ไม่ได้เพียงพอสำหรับการปลูกข้าว อย่างไรก็ตามภาครัฐมีการวางแผนบริหารจัดการน้ำในระยะยาวถึง 12 ปีเอาไว้แล้ว ภายใต้ 6 ยุทธศาสตร์ ซึ่งแผนดังกล่าวนี้จะช่วยให้ประเทศไทยรอดพ้นจากภัยแล้งได้อย่างไรเรามีข้อมูลมาฝากกัน

ยุทธศาสตร์บริหารจัดการน้ำ 12 ปี (2558-2569)

ยุทธศาสตร์บริหารจัดการน้ำ 12 ปี (2558-2569)

ยุทธศาสตร์การบริหารจัดการน้ำระยะยาว 12 ปีนั้น เป็นยุทธศาสตร์ที่รัฐบาลจะนำมาใช้ในช่วงปี 2558-2569 นั้นจะให้ความสำคัญกับการแก้ไขปัญหาน้ำใน 3 มิติด้วยกัน ได้แก่ ปัญหาขาดแคลนน้ำเนื่องมาจากภัยแล้ง ปัญหาน้ำท่วม อุทกภัยต่างๆ และปัญหาคุณภาพน้ำ ซึ่งเกี่ยวข้องกับปัญหาน้ำเสีย และน้ำเค็มในบางพื้นที่ โดยแบ่งเป็น 6 ยุทธศาสตร์ ใน 3 ช่วงระยะเวลาได้แก่ ระยะสั้น (2558-2559) ระยะกลาง (2560-2564) และระยะยาว (2565-2569) ซึ่งแต่ละยุทธศาสตร์มีรายละเอียดดังนี้

ยุทธศาสตร์บริหารจัดการน้ำ 12 ปี (2558-2569)

ยุทธศาสตร์บริหารจัดการน้ำ 12 ปี (2558-2569)

ยุทธศาสตร์ที่ 1 การจัดการน้ำอุปโภคบริโภค

เป็นยุทธศาสตร์ที่มีช่วงระยะเวลาการดำเนินงานที่สั้นที่สุด โดยจะสิ้นสุดลงในปี 2560 และผลที่เห็นได้ชัดจากยุทธศาสตร์นี้ได้แก่การที่ทุกๆ หมู่บ้านจะมีน้ำประปาใช้ โดยในการดำเนินการนั้นจะครอบคลุมตั้งแต่การจัดหาแหล่งน้ำต้นทุน ก่อสร้างระบบประปา เพิ่มประสิทธิภาพระบบส่งน้ำและลดความสูญเสียในระบบจัดส่งน้ำประปา นอกจากนี้ยังมีการควบคุมการขยายตัวของชุมชนเมืองให้เหมาะสมกับศักยภาพน้ำต้นทุน จะเห็นได้ว่าในยุทธศาสตร์นี้นอกจากทำให้ประชาชนไทยมีน้ำประปาใช้อย่างทั่วถึงแล้ว ยังคำนึงถึงอนาคตที่จะมีน้ำประปาใช้อย่างเพียงพอในระยะยาว

ยุทธศาสตร์ที่ 2 การสร้างความมั่นคงของน้ำภาคการผลิต

ภาคการผลิตในที่นี้หมายถึงทั้งภาคการเกษตรและภาคอุตสาหกรรม ซึ่งทั้ง 2 ภาคนี้มีความต้องการใช้น้ำในปริมาณที่มาก โดยรวมกันแล้วภาคการผลิตมีความต้องการน้ำมากถึง 73% ของความต้องการน้ำทั้งหมด ซึ่งภัยแล้งนี้ทำให้ภาคการเกษตรนั้นได้รับความเสียหาย ทั้งผลผลิตและการขาดโอกาสเพาะปลูก ส่วนอุตสาหกรรมก็ต้องหยุดชะงัก โดยผลจากการดำเนินงานตามยุทธศาสตร์ที่ 2 ในระยะสั้นนี้จะเริ่มต้นจากการกำหนดพื้นที่และควบคุมการขายตัวของอุตสาหกรรม การจัดการพื้นที่เกษตรกรรม เพิ่มประสิทธิภาพแหล่งเก็บน้ำ เพิ่มประสิทธิภาพการส่งและกระจายน้ำ ในระยะกลางและระยะยาวนี้คือการพัฒนาและฟื้นฟูแหล่งน้ำในพื้นที่เกษตร ควบคู่ไปกับการพัฒนาแหล่งเก็บกักน้ำใหม่และระบบกระจายน้ำ

ยุทธศาสตร์ที่ 3 การจัดการน้ำท่วมและอุทกภัย

การใช้ประโยชน์ที่ดินที่ไม่เหมาะสม เช่นการเปลี่ยนพื้นที่รับน้ำมาพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์เพื่อการอยู่อาศัย บ้าน หรือพื้นที่ทำการเกษตร ทำให้เกิดน้ำหลาก ดินถล่ม และน้ำท่วมฉับพลัน เกิดความเสียหายต่อชีวิต ทรัพย์สิน และเศรษฐกิจ แต่ยุทธศาสตร์ที่ 3 น้ำจะช่วยลดโอกาสเกิดน้ำท่วมได้โดยการปรับปรุงทางน้ำสายหลัก เพิ่มประสิทธิภาพการระบายน้ำ พร้อมจัดหาพื้นที่รองรับน้ำ ในเขตชุมชนเมืองจะมีระบบป้องกันน้ำท่วม ใช้ผังเมืองควบคุมความหนาแน่น ในระยะสั้นจะเป็นการศึกษาความเป็นไปได้และผลกระทบทางสิ่งแวดล้อม และในระยะยาวจะมีการจัดทำโครงการใหญ่ เช่น ทางน้ำหรือทางกั้นน้ำ

ยุทธศาสตร์ที่ 4 การจัดการคุณภาพน้ำ

ทั้งการเพิ่มของครัวเรือน และการขยายตัวของอุตสาหกรรมทำให้มีการระบายน้ำเสียในปริมาณที่มากขึ้น โดยเฉพาะการระบายน้ำลงสู่แหล่งน้ำโดยตรงแบบไม่ผ่านการบำบัด ทำให้เกิดความเสื่อมโทรมของแหล่งน้ำ และเกิดผลกระทบต่อเนื่องไปถึงระบบนิเวศในน้ำ ในปี 2557 นั้นกรมควบคุมมลพิษประมาณการว่า มีปริมาณน้ำทิ้ง 160 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อวัน จากการดำเนินการตามยุทธศาสตร์ที่ 4 นี้ ปริมาณน้ำเสียจะลดลงจากการปรับปรุงระบบบำบัดน้ำเสีย ป้องกันและแก้ไขปัญหาคุณภาพน้ำที่ปนเปื้อนในระดับวิกฤต ทั้งสารโลหะหนัก สารเคมีต่างๆ โดยให้แหล่งน้ำทั่วประเทศมีคุณภาพระดับพอใช้ขึ้นไป ในระยะกลางและยาวนั้นจะแก้ปัญหาน้ำเค็มด้วยการจัดสรรน้ำจืดเพื่อผลักดันน้ำเค็มในช่วงฤดูแล้ง

ยุทธศาสตร์ที่ 5 การอนุรักษ์ฟื้นฟูสภาพป่าต้นน้ำที่เสื่อมโทรมและป้องกันการพังทลายของดิน

การบุกรุกพื้นที่ป่าเพื่อทำการเกษตรนั้นเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้เกิดการชะล้างและพังทลายของดิน โดยเฉพาะในพื้นที่ซึ่งมีความลาดชันสูง ส่งผลเสียให้ความอุดมสมบูรณ์ของดินลดลง และโครงสร้างของดินถูกทำลาย ทำให้เมื่อทำการเกษตรเพาะปลูกไประยะหนึ่งผลผลิตก็จะตกต่ำลง อีกทั้งการพังทลายของดินจะไหลลงสู่แหล่งน้ำ และทางน้ำจนตื้นเขิน ระบายน้ำได้ไม่ดี ยุทธศาสตร์ที่ 5 นี้ จึงมีเป้าหมายทั้งระยะสั้นและระยะยาวไปที่การฟื้นฟูป่าต้นน้ำ ด้วยการปลูกพืชคลุมดิน และไม้ยืนต้น และฝายชะลอน้ำ

ยุทธศาสตร์ที่ 6 การบริหารจัดการ

ยุทธศาสตร์ที่ 6 นี้มุ่งไปที่การจัดการน้ำแบบองค์รวม โดยมีการจัดทำแผนแม่บทในการจัดการน้ำในภาวะต่างๆ ทั้งภาวะปกติ และภาวะวิกฤติ ทั้งในระดับประเทศและระดับลุ่มน้ำ โดยจะมีการจัดทำพระราชบัญญัติน้ำ ควบคุมการบุกรุกทางน้ำ และมีการบริหารจัดการน้ำอย่างถูกต้องตามหลักวิชาการ และสอดคล้องกับความต้องการน้ำในส่วนต่างๆ

ในภาพรวมแล้วทั้ง 6 ยุทธศาสตร์นี้จะทำให้ประชาชนไทยมีน้ำกินน้ำใช้เพียงพอเพราะมีต้นน้ำที่ดี และมีแหล่งกักเก็บน้ำที่เพียงพอ นอกจากนั้นแหล่งน้ำยังมีความสะอาดมีคุณภาพดีอีกด้วย ไม่เกิดภัยแล้งขึ้นอีก และขณะเดียวกันก็ไม่มีปัญหาน้ำท่วมเพราะมีระบบระบายน้ำที่มีประสิทธิภาพ เหนือสิ่งอื่นใดคือการบริหารจัดการน้ำที่มีความสอดคล้องกัน จึงทำให้มีการจัดสรรน้ำให้ทุกภาคส่วนอย่างเหมาะสม

รายการอ้างอิง:

แผนยุทธศาสตร์การบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ (บทสรุปผู้บริหาร)

จดหมายข่าวรัฐบาลเพื่อประชาชน ปีที่ ๒ ฉบับที่ ๒๔ วันที่ ๑๕ เมษายน พ.ศ. ๒๕๕๙

Picture Reference: www.sgto-wm.com และ dailynews.co.th
เรื่องข้างต้นนี้เขียนโดย เชษฐพล มานิตย์ Online Writer ประจำ DDproperty.com หากมีคำถามเพิ่มเติมสามารถติดต่อได้ที่ chetapol@ddproperty.com

เขียนความเห็น

ข่าว-บทความอื่นๆ ที่คุณอาจสนใจ