“ออมก่อนใช้ สำรองเงินเผื่อฉุกเฉิน และตั้งเป้าหมายในการเก็บออมเงิน เพื่ออนาคตการเงินที่สดใส” – K-Expert
เมื่อเรียนจบ หลายคนก็เข้าสู่โลกของการทำงาน ส่วนใหญ่ก็เริ่มจากการทำงานประจำ เป็นมนุษย์เงินเดือนป้ายแดง แต่เมื่อเริ่มทำงานมีรายได้เป็นของตัวเอง ไม่ได้แบมือขอเงินจากคุณพ่อคุณแม่อีกต่อไป ก็เรียกว่าถึงเวลาแล้วที่จะต้องบริหารเงินก้อนนี้ให้เพียงพอกับรายจ่าย และมีเงินมาเก็บออมด้วย อ่านมาถึงตรงนี้ อย่าเพิ่งเป็นกังวลว่า เงินเดือนเด็กจบใหม่อยู่ที่หลักหมื่น แค่ค่าใช้จ่ายกิน อยู่ เดินทาง ก็แทบจะไม่พอ แล้วจะเก็บออมได้อย่างไร จริงๆ แล้ว จะเก็บออมได้หรือไม่ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่า รายได้มากหรือน้อย เพราะถ้ามีความอดทน และความตั้งใจ ก็สามารถเก็บออมเงินได้แน่นอน ทั้งนี้ K-Expert ก็มีเทคนิคเก็บออมเงินสำหรับมนุษย์เงินป้ายแดงมาฝาก ดังนี้ค่ะ
ออมก่อนใช้ทุกเดือน
พอเงินเดือนออก แนะนำให้ “ออมก่อนใช้” ก่อนเลย 20% เป็นอย่างน้อย หรือกำหนดเป็นจำนวนเงินที่จะเก็บในแต่ละเดือนก็ได้ เช่น เงินเดือน 15,000 บาท ก็หักมาออมไว้ก่อนเลย 3,000 บาททุกเดือน ซึ่งการออมก่อนใช้จะช่วยให้เราไม่ใช้เงินที่หามาได้จนหมด จนไม่เหลือเก็บออม
นอกจากนี้ เพื่อช่วยให้เรามีเงินออมได้มากขึ้น ขอแนะนำให้มีการ “จดบันทึกรับ-จ่าย” เพราะเราจะทบทวนได้ว่า เงินในกระเป๋าของเรา หมดไปกับค่าใช้จ่ายอะไรบ้าง จะได้ปรับลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นลง ซึ่งค่าใช้จ่ายที่ลดลง ก็คือ เงินที่เราสามารถนำมาออมเพิ่มได้นั่นเอง
บทความแนะนำ เงินเดือน 15,000 บาท ก็มีเงินล้านได้
สำรองเงินเผื่อฉุกเฉิน
เงินที่ออมทุกเดือน แนะนำให้ “เก็บเป็นเงินสำรองเพื่อใช้จ่ายยามฉุกเฉิน” สัก 6 เท่าของค่าใช้จ่ายต่อเดือน เช่น มีค่าใช้จ่ายอยู่ที่เดือนละ 10,000 บาท ก็ควรมีเงินสำรองเก็บไว้ 60,000 บาท ซึ่งเงินสำรอง 6 เท่า แนะนำให้แบ่ง 1 ส่วนเก็บในเงินฝาก เพื่อให้มีสภาพคล่องสูงสุด ถอนเมื่อไรก็ได้ อีก 5 ส่วน เก็บในกองทุนตลาดเงิน เพื่อโอกาสรับผลตอบแทนที่สูงกว่าเงินฝากออมทรัพย์ทั่วไป ซึ่งเงินฝากออมทรัพย์มีอัตราดอกเบี้ยอยู่ที่ 0.5% ต่อปี ขณะที่กองทุนตลาดเงินให้ผลตอบแทนย้อนหลังโดยเฉลี่ย 1-2% ต่อปี เรียกว่าผลตอบแทนสูงกว่าเงินฝากออมทรัพย์ 2-4 เท่าเลยทีเดียว โดยยังมีสภาพคล่องอยู่ ซึ่งกองทุนตลาดเงินจะได้รับเงินเมื่อขายคืนในวันทำการถัดไป (T+1)
เงินสำรองก้อนนี้มีความสำคัญมากนะคะ เพราะหากมีเหตุไม่คาดฝันทำให้ต้องใช้เงินก้อนใหญ่ จะได้มีเงินมาใช้จ่ายทันที เช่น เจ็บป่วยหรือเกิดอุบัติเหตุ ต้องใช้เงินเป็นค่ารักษาพยาบาล ซื้อของใช้จำเป็นใหม่ หรือแม้กระทั่งตกงานขาดรายได้ ซึ่งเดี๋ยวนี้ อะไรก็ไม่แน่นอน คนที่เป็นมนุษย์เงินเดือน หน้าที่การงานดูมั่นคง แต่เมื่อเศรษฐกิจเปลี่ยนแปลง เทคโนโลยีเปลี่ยนไป ก็ทำให้หลายคนต้องว่างงาน แล้วถ้าไม่มีเงินเก็บเตรียมไว้ อาจมีปัญหาการเงินตามมา หรือต้องหยิบยืมกลายเป็นหนี้เป็นสินก็ได้
เก็บเงินเพื่อเป้าหมาย
เมื่อกันเงินสำรองเผื่อฉุกเฉินเพียงพอแล้ว ก็ถึงเวลาวางแผน “เก็บเงินเพื่อเป้าหมาย” ซึ่งการเก็บเงินก็เหมือนกับการขับรถที่ต้องกำหนดจุดหมายที่เราต้องการจะไปถึง ไม่เช่นนั้น เราก็จะขับรถไปเรื่อยๆ อย่างไร้จุดหมาย การเก็บเงินก็เช่นกัน ต้องมีการตั้งเป้าหมายก่อนว่าเราเก็บเงินไปเพื่ออะไร และมีการกำหนดระยะเวลาที่ต้องการทำเป้าหมายให้สำเร็จด้วย เช่น มีเงินล้านใน 5 ปี ดาวน์บ้าน 5 แสนบาทในอีก 2 ปี เก็บเงินเพื่อเกษียณ 15 ล้านบาท ในอีก 30 ปี
การตั้งเป้าหมายและกำหนดระยะเวลาจะช่วยให้เรารู้ว่า ต้องเก็บเงินไว้ที่ไหนจึงจะเหมาะสม โดยทั่วไปแล้ว ถ้ามีเวลาเก็บเงินสั้น ไม่ควรลงทุนเสี่ยงเกินไป เพื่อเน้นรักษาเงินต้นเอาไว้ แต่ถ้ามีเวลาออมเงินนาน สามารถลงทุนเสี่ยงได้ เพื่อโอกาสรับผลตอบแทนที่สูงขึ้น เช่น เงินดาวน์บ้าน ซึ่งเป็นเป้าหมายสำคัญ มีเวลาเก็บเงินไม่นาน ก็ควรเก็บในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงต่ำ อย่างเงินฝาก หรือกองทุนตลาดเงิน หรือถ้ามีเวลาเก็บเงินดาวน์สัก 2 ปี สามารถเลือกเก็บออมเงินในเงินฝากประจำปลอดภาษี 24 เดือน เป็นการฝากเงินเท่ากันทุกเดือน เช่น เก็บเงินเดือนละ 20,000 บาท ครบ 2 ปีก็มีเงินมาดาวน์บ้านเกือบ 5 แสนบาทตามเป้าหมายที่วางไว้ แต่ถ้าเป็นการเก็บเงินเพื่อเกษียณ แม้เป็นเป้าหมายสำคัญ แต่มีเวลาเก็บเงินนานเป็นสิบปี ก็สามารถลงทุนในหุ้น หรือกองทุนหุ้นค่ะ
เมื่อก้าวเข้าสู่ชีวิตวัยทำงาน ก็ถึงเวลาที่จะต้องบริหารจัดการเงินด้วยตนเอง ทั้งควบคุมค่าใช้จ่ายให้อยู่ในกรอบของรายได้ และมีเงินมาเก็บออมเพื่อเป้าหมายในชีวิต เพราะถ้าเรามีการวางแผนเรื่องการเงินของตัวเราเอง เชื่อได้ว่าอนาคตการเงินที่สดใส และเป้าหมายที่ฝันไว้ไม่ไกลเกินเอื้อมแน่นอนค่ะ
เรื่องข้างต้นนี้เขียนโดย นิชฌานี ฉันทศาสตร์, CFP K-Expert ฝ่ายวางแผนและให้คำปรึกษาลูกค้าบุคคล ธนาคารกสิกรไทย หากมีข้อสงสัยหรือต้องการปรึกษาวางแผนเพิ่มเติม สามารถปรึกษากับ K-Expert ธนาคารกสิกรไทย ได้ที่ K-Expert@kasikornbank.com