หลังจากศูนย์สำรวจความคิดเห็น “นิด้าโพล” สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) เปิดเผยผลสำรวจความคิดเห็นของประชาชน เรื่อง “ผลสำรวจครั้งที่ 11: การลงประชามติร่างรัฐธรรมนูญ 2559” โดยมีการทำการสำรวจระหว่างวันที่ 2 – 6 ส.ค จากประชาชนที่มี อายุ 18 ปี ขึ้นไป และเป็นผู้มีสิทธิออกเสียงลงประชามติทั่วประเทศ กระจายทุกระดับการศึกษา และอาชีพ รวมทั้งสิ้น จำนวน 5,849 หน่วยตัวอย่าง เกี่ยวกับการตัดสินใจลงประชามติร่างรัฐธรรมนูญ 2559 และความคิดเห็นต่อข้อเสนอให้สมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) สรรหา ในช่วงเปลี่ยนผ่าน 5 ปี มีสิทธิร่วมกับสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร โหวตเลือกนายกรัฐมนตรี สรุปผลได้ดังนี้
ทั้งนี้ เมื่อถามถึงการตัดสินใจของประชาชนเกี่ยวกับการลงประชามติรับหรือไม่รับร่างรัฐธรรมนูญ พบว่า ประชาชนที่ระบุว่าจะไปใช้สิทธิและสามารถตัดสินใจได้แล้วว่าจะตัดสินใจอย่างไรนั้น ส่วนใหญ่ ร้อยละ 76.87 ระบุว่า ไปลงมติรับร่างรัฐธรรมนูญ รองลงมา ร้อยละ 18.68 ระบุว่า ไปลงมติไม่รับร่างรัฐธรรมนูญ และร้อยละ 4.45 ระบุว่า ไปใช้สิทธิ แต่ไม่มีมติไปทางใด ทางหนึ่งอย่างชัดเจน
ขณะที่ ตัวเลขผู้ไปใช้สิทธิ์ลงประชามติร่างรัฐธรรมนูป 27.6 ล้านคน จากยอดผู้มีสิทธิออกเสียง 50 ล้านคน ผลมติมหาชนท่วมท้นรับร่าง รธน.กว่า 15.56 ล้านเสียง มีผู้ไม่รับ 9.78 ล้านเสียง ส่วนคำถามพ่วงมีผู้รับ 13.9 ล้านเสียง ไม่รับ 10 ล้านเสียง และยอดบัตรเสียถึง 869,043 ใบ
และแม้ว่า ณ ขณะนี้ ผลการลงประชามติรับร่างรัฐธรรมนูญยังไม่ออกอย่างเป็นทางการ โดยมีผลประชามติ เห็นชอบร่างฯ 61.40% คำถามพ่วง 58.11% โดยส่วนใหญ่แสดงความเห็นไปในทางเดียวกัน และเมื่อเสียงส่วนใหญ่เห็นชอบแล้วนั้น หลังจากนี้เศรษฐกิจไทยจะมีแนวโน้มเป็นอย่างไร จากมุมมอง 4 มิติ ดังนี้
1.ความเชื่อมั่น : ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคและนักลงทุนมีแนวโน้มจะขยับตัวเพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นผลดีต่อการลงทุนภาคเอกชนและการบริโภคสินค้าคงทน อันเป็นผลดีต่อการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจในช่วงครึ่งหลัง แต่ความเชื่อมั่นที่ฟื้นอาจเกิดขึ้นเพียงชั่วคราว 3 – 6 เดือน
2.การลงทุน : เอกชนไทยพร้อมจะทยอยลงทุนเพิ่มขึ้น หากเกิดความชัดเจนทางการเมือง อีกทั้งนักลงทุนต่างชาติก็จะเริ่มเข้ามาลงทุน ซึ่งแนวโน้มดังกล่าวนับว่าเป็นผลดีต่อภาคการลงทุน การจ้างงาน และการส่งออกในอนาคต
3.การฟื้นตัวทางเศรษฐกิจช่วงครึ่งหลังของปี : เศรษฐกิจไทยจะฟื้นตัวไม่แรงมาก ความเสี่ยงในประเทศแม้ลดลง แต่ไทยยังคงมีความเสี่ยงจากภาคต่างประเทศและยังต้องเผชิญปัญหาเชิงโครงสร้างที่ต้องใช้เวลาในการแก้ไข
4.การเบิกจ่ายงบประมาณเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ และวินัยทางการคลังในอนาคต : หากเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจในระยะสั้น และมีที่มาของแหล่งเงินที่ชัดเจน เพื่อมาใช้ในงบประมาณนี้ในอนาคต การใช้จ่ายโดยรัฐบาล เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจก็ไม่น่าจะมีปัญหาอย่างไร
หากพิจารณาเหตุการณ์ในอดีตภายหลังมีความชัดเจนทางการเมืองหลังผ่านร่างการลงประชามติรัฐธรรมนูญปี 2550 หลังการเลือกตั้งปี 2550 และหลังการเลือกตั้งปี 2554 จะพบว่านักลงทุนต่างชาติเข้ามาซื้อสุทธิในตลาดหุ้นไทยมาก ส่งผลให้ดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับขึ้นแรงได้ราว 3-4% และเงินบาทปรับแข็งค่าได้เกือบ 1% เมื่อเทียบกับเงินดอลลาร์สหรัฐฯ แต่ก็น่าจะเป็นภาวะชั่วคราวจากการคลายความกังวลซึ่งอาจมีการเทขายทำกำไรได้ในเวลาต่อมา ในทางตรงกันข้ามหากมีความวุ่นวายตามมา ตลาดอาจปรับตัวในทิศทางตรงกันข้าม แต่ก็ไม่น่าจะเลวร้ายเหมือนช่วงเกิดรัฐประหารในปี 2549 และปี 2557
อัพเดทข่าวอสังหาริมทรัพย์ ทางอีเมลส่งตรงจากเว็บไซต์อสังหาฯ อันดับ 1 ของเมืองไทยฟรี สมัครได้ที่นี่
เรื่องข้างต้นนี้เขียนโดย สิณีวรรณ เทศปัญ กองบรรณาธิการ DDproperty.com หากมีคำถามเพิ่มเติมสามารถติดต่อได้ที่ sineewan@ddproperty.com