ไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าวันหนึ่งจะมีโอกาสได้มาเขียนอะไรยาวๆ ให้คนทั่วไปได้อ่าน และไม่คิดว่าเรื่องราวชีวิต สิ่งที่ได้ทำมาจะมีผู้คนสนใจ ก่อนอื่นขอแนะนำตัวเองก่อน ผมเป็นเกษตรกรคนหนึ่งที่มีรายได้จากการทำการเกษตร การเพาะปลูก แต่สิ่งที่ดูจะทำให้ผมแตกต่างจากเกษตรกรทั่วไปคือ
ผมทำ “การเกษตรและการเพาะปลูกในเมือง” หรือที่เรียกกันว่า “เกษตรในเมือง”
ต้องเท้าความก่อนว่าแรกเริ่มเดิมที ก่อนที่จะทำการเกษตร ผมก็เหมือนกับคนเมืองทั่วๆ ไปที่มีหน้าที่การงานปกติ เช้าทำงาน เย็นกลับบ้าน จนวันหนึ่งผมมีครอบครัวและมีลูก จึงเกิดความคิดว่า “ไม่อยากส่งลูกให้คนอื่นเลี้ยง “ “อยากเลี้ยงลูกเอง” เลยตัดสินใจลาออกจากงาน ทั้งหมดนั้นคือที่มาของการมีอาชีพเกษตรกรของผม เป็นเหตุผลง่ายๆ ไม่ได้คิดซับซ้อนมากนัก
จากวันที่ตัดสินใจออกจากระบบที่คนส่วนใหญ่ของสังคมใช้ชีวิตมาจนถึงปัจจุบัน เรียกได้ว่าเป็นระยะเวลา 10 ปีแล้ว ผมจึงคิดว่าประสบการณ์ในการทำการเกษตรในเมืองของผมคงพอมีประโยชน์กับท่านผู้อ่านบ้างนะครับ
ก่อนอื่นมาทำความเข้าใจกับสิ่งเหล่านี้ก่อน “สวนผักคนเมือง” หรือ “เกษตรในเมือง” ซึ่งหลายคนอาจจะสงสัยและนึกภาพไม่ออกว่ามันแปลว่าอะไร
สำหรับผม สวนผักคนเมืองหรือเกษตรในเมือง ก็คือการเพาะปลูก การทำเกษตรในพื้นที่เขตเมือง ในรูปแบบต่างๆ โดยใช้ปัจจัยการผลิตที่มีอยู่ในเมืองเป็นหลัก
แล้วคำถามต่อมาคือ ทำไมเมืองถึงต้องมีการทำการเกษตร?
เมืองหลวงอย่างกรุงเทพมหานคร ถือเป็นศูนย์กลางความทันสมัย แวดล้อมด้วยความสะดวกสบาย ทั้งรถไฟฟ้าคอยอำนวยความสะดวก ทั้งห้างสรรพสินค้าใหญ่โตมากมาย มีความเจริญก้าวหน้าต่างๆ เป็นหน้าเป็นตาให้แก่ประเทศไทย ทั้งที่ดูเหมือนจะเพียบพร้อมไปเสียทุกด้าน แต่ยังมีสิ่งหนึ่งที่เมืองสุดแสนจะศิวิไลซ์อย่าง “กรุงเทพมหานคร” ขาดไป หรือ มีน้อยมาก เมื่อเทียบกับอาชีพอื่นๆ ในเมือง นั่นก็คือ “อาชีพเกษตรกร”
นั่นหมายความว่า กรุงเทพมหานครของเรานำเข้าอาหารจากเมืองอื่นหรือจังหวัดอื่นเกือบ 100% จึงเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ ค่าอาหารในเมืองหลวงมีราคาสูง จนเกือบเป็นครึ่งหนึ่งของรายรับ (เทียบกับค่าแรงขั้นต่ำในปัจจุบัน)
นอกจากจะทำให้ค่าอาหารในเมืองสูงขึ้นแล้ว การไม่มีอาชีพเกษตรกรในเมือง ยังทำให้เมือง ไม่มี “ความมั่นคงทางอาหาร” หากเกิดวิกฤตใดๆ ก็ตาม ที่ทำให้การขนส่งอาหารจากนอกเมืองเข้าสู่เมืองไม่ได้ เช่น ภัยธรรมชาติ น้ำท่วม การชุมนุมประท้วงปิดถนน ภัยสงคราม เมืองอย่างกรุงเทพมหานครเองจะมีอาหารเลี้ยงคนในเมืองได้กี่วัน (ดังเช่นที่ทราบกัน เหตุการณ์น้ำท่วมครั้งใหญ่ที่ผ่านมา)
ไหนจะเรื่องความไม่ปลอดภัยของอาหาร การปนเปื้อนของสารเคมีเกษตรในผักผลไม้ที่เกินมาตรฐาน การใช้พลังงานในการขนส่งและเก็บรักษาคุณภาพของอาหาร ฯลฯ สารพันปัญหาเยอะแยะมากมายที่เกี่ยวกับเรื่องการกินอยู่ของคนในเมือง เพียงเพราะที่แห่งนี้ขาด ‘เกษตรกร’
ครั้งนี้คงพอเท่านี้ก่อน ครั้งต่อไปผมจะมาเล่าให้ฟังว่า จากเหตุการณ์ความเสี่ยงที่กล่าวมาทั้งหมดที่เกิดขึ้นหรือกำลังจะเกิดขึ้นในเมืองหลวง “เกษตรในเมือง” จะมาช่วยแก้ไขปัญหาต่างๆ เหล่านี้ได้อย่างไร
เริ่มต้นการเป็นเกษตรกรด้วยการจับเกษตรพอเพียงใส่ลงในสวนหลังบ้าน
บทความนี้เขียนโดยนักเขียนรับเชิญ คุณชูเกียรติ โกแมน เกษตรคนเมืองผู้ดำเนินงานศูนย์การเรียนรู้การทำเกษตรในเมือง ศูนย์สุวรรณภูมิ เเห่งอำเภอบางพลี จังหวัดสมุทรปราการ