สำหรับคนที่อยู่อาศัยในเมือง วิถีชีวิตค่อนข้างเร่งรีบ การทำการเพาะปลูกพืชผักสำหรับบริโภคเองในครัวเรือนดูจะเป็นเรื่องไกลตัว สารพันปัญหาที่คนในเมืองคิดว่าไม่สามารถพึ่งพาตัวเองทางด้านอาหารได้ ทั้งไม่มีเวลา ทั้งไม่มีพื้นที่ บ้านมีแต่พื้นปูนจะปลูกได้ยังไง หรือ ยุ่งยาก ซื้อกินง่ายกว่า ฯลฯ
สุดท้ายคนในเมืองก็ยกหน้าที่การเพาะปลูกเพื่อผลิตอาหารให้กับคนต่างจังหวัด หันไปพึ่งพาระบบอาหารแบบอุตสาหกรรม ซึ่งทำให้คนเมืองอย่างเราๆ ท่านๆ ไม่เคยรู้ที่มาของอาหารที่บริโภคในแต่ละมื้อเลย จนนำมาซึ่งปัญหาต่างๆ ทั้ง เรื่องสุขภาพ ค่าครองชีพที่สูงในเมือง ไปจนถึงเรื่องการแย่งชิงทรัพยากรกันระหว่างเมืองกับพื้นที่เกษตรกรรม
แล้วจะต้องทำอย่างไรเพื่อแก้ไขปัญหาเหล่านี้ ? เห็นทีทางออกคงจะมีแค่การให้คนเมืองหันมาพึ่งพาตนเองให้มากขึ้นโดยการ ‘ทำเกษตรกรรมด้วยตนเอง’ ข้างล่างนี้เป็นเหตุผล 6 ข้อที่ตอบคำถามว่าทำไมคนในเมืองจึงควรปลูกผักกินเอง
1.พืชผักที่เราซื้อกิน “ไม่ ปลอดภัย”
เราจะได้ยินข่าวอยู่เนื่องๆ ว่า มีสารเคมีตกค้างในพืชผัก ผลไม้ที่เราบริโภคกันอยู่เป็นประจำ ด้วยระบบตลาดที่ทำให้ผู้ปลูก ไม่รู้ว่าใครกิน ผู้กินไม่รู้ว่าใครปลูก ความต้องการพืชผักที่สวยงาม ไม่มีริ้วรอยของแมลงกัดกิน หรือแม้แต่ ตรารับรองใดๆ ไม่ได้เป็นเครื่องยืนยันว่า พืชผักที่เราซื้อหามาบริโภคในแต่ละมื้อ จะปลอดภัยจากสารพิษ และสารเคมีเกษตรที่ปนเปื้อนในพืชผัก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พริกแดง กะเพรา และถั่วฝักยาว ถือว่าเป็นพืชผักอันดับต้นที่พบว่ามีสารเคมีเกษตรตกค้างเกินมาตรฐานที่กฎหมายกำหนด ผจญโรคภัยไข้เจ็บเหล่านี้ โรคฮิตแต่ไม่ชิคของชีวิตคนเมือง 1,2 ไม่พอ ยังจะต้องเกิดความรู้สึกไม่ปลอดภัยเวลากินอะไรเข้าไปอีกหรือ
ดังนั้นการปลูกผักกินเอง จะทำให้เรามั่นใจได้ว่าพืชผักที่เราบริโภคปลอดภัยจากสารเคมีตกค้าง
2.คนเมืองขาด “ความมั่นคงทางอาหาร”
การจะมีอาหารกินในแต่ละมื้อสำหรับคนในเมือง ต้องแลกมาด้วยการใช้ “เงิน” ในการซื้อหาอาหารมาบริโภค ซึ่งปัจจุบัน ค่าใช้จ่ายทางด้านอาหารสำหรับคนในเมือง ไม่น่าจะต่ำกว่า 50 % ของรายได้ ถ้าไม่มีเงินในการจับจ่าย ก็แทบจะไม่สามารถหาอาหารได้เลยสำหรับคนในเมือง อีกทั้งถ้าเกิดเหตุการณ์วิกฤตใดๆ ก็ตาม เช่น ภัยธรรมชาติ น้ำท่วม ฝนแล้ง สงคราม ประท้วงฯลฯ สิ่งเหล่านี้ล้วนกระทบต่อราคาค่าอาหารในเมืองทั้งสิ้น
การปลูกผักกินเองจึงสามารถช่วยลดรายจ่ายค่าอาหาร ทำให้เรามีความมั่นคงทางอาหาร แม้จะเกิดวิกฤตการณ์ต่างดังกล่าว
3.ลดการใช้ “พลังงาน”
จะเห็นได้ว่าในเมืองเต็มไปด้วยตึกและอาคารมากมาย ทุกอาคารต้องมีดาดฟ้า ซึ่งเป็นพื้นที่ที่ได้รับแสงแดดเต็มที่ ทำให้ตัวอาคารมีความร้อนสะสมสูง ต้องใช้พลังงานและค่าใช้จ่ายในการลดอุณหภูมิ แต่หากเราเปลี่ยนดาดฟ้าที่กว้างและร้อนเป็นสวนผัก ความร้อนสะสมก็จะลดลง การใช้พลังงานและค่าใช้จ่ายก็จะลดลงเช่นเดียวกัน แล้วยิ่งถ้าหลายๆ อาคาร หลายดาดฟ้าทำสวนผัก ความร้อนสะสมในเมือง ก็จะลดลง เมืองก็จะเย็นขึ้น
เท่านี้ไม่พอการปลูกผักในพื้นที่ดาดฟ้ายังช่วยลดพลังงานที่ใช้ขนส่งอาหารและพืชผักจากนอกเมืองเข้าสู่ในเมือง พลังงานที่เราใช้ออกไปซื้อหาอาหาร พลังงานในการเก็บรักษาความสดของอาหาร เห็นได้ชัดเลยว่าคนเมือง ใช้พลังงานเยอะเนอะ
4.เพิ่ม “รายได้”
การปลูกผักกินเอง นอกจากจะช่วยลดรายจ่ายในด้านอาหารแล้ว หากเราปลูกได้ชำนาญ มีผักเหลือบริโภค เราสามารถแบ่งออกมาจำหน่าย ให้เพื่อนที่ทำงาน เพื่อนบ้านในชุมชน เป็นรายได้เสริมอีกทาง นอกจากพืชผักที่สามารถขายได้ ปุ๋ยหมัก น้ำหมักชีวภาพ รวมถึงต้นกล้าผัก ก็สามารถขายให้กับผู้ที่ต้องการได้ มีอาชีพด้วยการเป็น “เกษตรกรในเมือง” ก็น่าสนใจนะ
5.ลด “โลกร้อน”
คนในเมืองอย่างเรา สามารถช่วยโลกได้มากกว่า การสะพาย “ถุงผ้า”
การช่วยลดขยะสด ขยะอินทรีย์ต่างๆ ที่เหลือจากการบริโภคของเรา ด้วยการเปลี่ยนขยะพวกนี้เป็น “ปุ๋ยหมัก” เพื่อใช้สำหรับการเพาะปลูกและดูแลพืชผักช่วยโลกเราได้มาก รักษ์โลก ลดโลกร้อน
6.เชื่อมความสัมพันธ์
ด้วยวิถีชีวิตที่เร่งรีบในเมือง ทำให้เราคุยกับคนรอบข้าง ทั้งคนในครอบครัว เพื่อนบ้าน เพื่อนร่วมงาน น้อยลง การเพาะปลูก เป็นกิจกรรมหนึ่งที่จะช่วยสร้างความสัมพันธ์ ทำให้เรามีเรื่องคุยกันมากขึ้น ลองนึกภาพเล่นๆ ดูว่า พ่อกับลูกชายช่วยกันปลูกผัก แม่กับลูกสาวเก็บผักไปปรุงอาหาร หรือ เรามีผักที่ปลูกเอง ไปฝากเพื่อนบ้าน เพื่อนที่ทำงาน แค่คิด ก็สุขแล้ว ทำได้จริงจะยิ่งสุขแค่ไหน?
ทั้งหมดทั้งมวลนี้เป็นเหตุผลดีๆ เพียงไม่กี่ข้อ ที่ช่วยตอบคำถามว่า ทำไมเรา (คนในเมือง) ควรปลูกผักกินเอง
สามารถรับชมบทความในรูปแบบวิดีโอได้ที่นี่
บทความนี้เขียนโดยนักเขียนรับเชิญ คุณชูเกียรติ โกแมน เกษตรคนเมืองผู้ดำเนินงานศูนย์การเรียนรู้การทำเกษตรในเมือง ศูนย์สุวรรณภูมิ เเห่งอำเภอบางพลี จังหวัดสมุทรปราการ