ผ่านมาแล้ว 1 เดือนกับการใช้บัตรสวัสดิการแห่งรัฐหรือที่เรียกกันว่า “บัตรคนจน” โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อช่วยเหลือคนจนตามชื่อบัตรในการลดค่าใช้จ่ายในครัวเรือน และค่าเดินทาง แม้ว่าจุดเริ่มต้นของนโยบายดังกล่าวจะดีแค่ไหน แต่ที่ผ่านมายังคงมีปัญหาให้ทางภาครัฐจะต้องตามแก้ไขและปรับปรุงอีกหลายด้าน อาทิ ความไม่พร้อมของเครื่อง EDC หรือเครื่องอ่านบัตร ในร้านธงฟ้าที่ยังกระจายไม่ครบทุกพื้นที่ ปัญหาการใช้บัตรผิดวัตถุประสงค์ รวมถึงการใช้ในการเดินทางโดยรถไฟ และรถเมล์ ซึ่งเริ่มใช้เมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายนที่ผ่านมายังประสบปัญหาระบบล่ม และปัญหาใหญ่ที่สุดคือ “คนจนไม่ได้ใช้ แต่คนใช้ไม่ได้จน”
ช่องโหว่ใหญ่ตั้งแต่เริ่มหา “คนจน”
จากมุมมองของ ดร.สมชัย จิตสุชน ผู้อำนวยการวิจัยด้านการพัฒนาอย่างทั่วถึง สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย หรือทีดีอาร์ไอ ให้ความเห็นว่า จากการสำรวจของสภาพัฒน์ ประเทศไทยมีคนจนในทุกช่วงอายุ ประมาณ 8% หรือ 4-5 ล้านคน แต่จากการลงทะเบียนคนจนซึ่งมีเงื่อนไขเฉพาะผู้ที่อายุมากกว่า 18 ปีขึ้นไป กลับมีผู้มาลงทะเบียนถึง 14 ล้านคน แม้หลังจากผ่านการคัดกรองแล้วจะเหลือ 11 ล้านคน ก็ยังมากกว่าข้อมูลของสภาพัฒน์ ช่วยยืนยันได้ว่าผู้ที่มาลงทะเบียนมีคนที่ไม่จนจริง ๆ เป็นจำนวนมาก ซึ่งหากภาครัฐยึดจำนวนคนเหล่านี้ไปออกมาตรการช่วยเหลืออื่น ๆ จะยิ่งทำให้คนที่ไม่จนได้รับประโยชน์ไปด้วย ทำให้งบประมาณรั่วไหลอย่างไม่ถูกวัตถุประสงค์
แม้ว่าปัญหาคนไม่จนแต่กลับได้ใช้บัตรคนจนจะน่าเป็นห่วง แต่สิ่งที่น่าเป็นห่วงยิ่งกว่าคือ คนที่จนจริงๆ ที่มีรายได้ต่ำกว่าเส้นความยากจนได้เข้ามารับสิทธิเหล่านี้ครบหรือไม่ เพราะคนที่จนจริงๆ ส่วนใหญ่เป็นคนหาเช้ากินค่ำ ไม่ชอบกรอกข้อมูล หรือไม่ทราบข่าว ซึ่งปัจจุบันยังไม่มีกระบวนการไหนชี้วัดข้อมูลตรงจุดนี้ได้เลย
ให้เป็นของแทนการให้เงิน ดีกว่าจริงหรือ?
การแจกเงินในมุมมองของคนชั้นกลางในประเทศไทยส่วนใหญ่มักไม่เห็นด้วยกับวิธีการนี้ เนื่องจากมองว่าคนที่ได้เงินไปจะงอมืองอเท้าไม่ทำงาน จะไปซื้อเหล้า หรือบุหรี่หมด แต่ในมุมมองของนักเศรษฐศาสตร์มองว่าให้เงินจะได้ประโยชน์มากกว่าให้ของ เพราะคนที่จนจริงๆ จะไม่ไปใช้ซื้อบุหรี่ หรือเหล้า หากอาหาร และเครื่องนุ่งห่มยังไม่เพียงพอ แต่คนที่จนไม่จริงต่างหากที่จะนำไปซื้อของอย่างอื่น เพราะมีปัจจัย 4 ครบแล้ว ซึ่งจากประสบการณ์พบว่าสัดส่วนคนจนที่ใช้เงินผิดประเภท นำไปซื้ออบายมุขต่าง ๆ มีเพียง 1-2% เท่านั้น
นอกจากนี้ การให้เป็นของมีข้อจำกัดมากมาย อาทิ ต้องซื้อจากร้านธงฟ้า ต้องมีเครื่องอ่านบัตร คนจนที่อยู่ในพื้นที่ห่างไกลไม่มีร้านธงฟ้าในพื้นที่จึงต้องเสียค่าเดินทางเพิ่ม ดังนั้นถ้าให้เป็นเงินจะตอบโจทย์มากกว่า แต่ต้องให้ไม่มาก แค่ให้ผ่านช่วงชีวิตที่ลำบากไปได้ และช่วยในเรื่องที่จำเป็นอื่น ๆ เพราะหากให้เงินจำนวนมาก จะยิ่งเป็นการกระตุ้นให้คนไม่จนวิ่งเข้าหาช่องทางของคนจนมากขึ้น ซึ่งก็ต้องกลับไปตั้งต้นที่กระบวนการตามหาคนจนจริง ๆ ให้พบ
แนะ 2 กระบวนการคัดกรอง
1. คัดกรองจากข้อมูลการใช้จ่าย กระบวนการคัดกรองขณะนี้จะพิจารณาแค่มีหนี้สินและทรัพย์สินเท่าไหร่ แต่ข้อมูลที่แม่นยำมากกว่านั้นคือ ข้อมูลการใช้จ่าย โดยรัฐบาลอาจจะต้องออกกฎหมายเพื่อให้สามารถเข้าถึงข้อมูลการใช้จ่าย เช่น บัตรเครดิต บัตรเดบิตของแต่ละธนาคาร ดูว่าแต่ละคนใช้จ่ายเรื่องอะไรบ้าง ซึ่งจะทราบได้ทันทีว่าใครไม่จน
2. ใช้ อสม. ช่วยคัดคนจน กลไกของการตามหาคนจน ต้องใช้คนที่คลุกคลีอยู่ในพื้นที่ อาทิ อาสาสมัครสาธารณสุข หรือ อสม. ของกระทรวงสาธารณสุข ซึ่งเป็นคนในพื้นที่คอยดูแลด้านสุขภาพของคนในชุมชน โดย 1 คน จะดูแล 15 ครอบครัว ทำให้คนเหล่านี้มีข้อมูลว่าบ้านไหนเป็นอย่างไร ใครจนหรือไม่จนบ้าง เมื่อเทียบกับการที่รัฐบาลตรวจสอบโดยการจ้างนักศึกษาซึ่งใช้งบประมาณกว่า 1,000 ล้านบาท ซึ่งนักศึกษาเหล่านั้นไม่มีทางรู้ได้ว่าข้อมูลที่ได้มาจริงหรือเท็จเพราะไม่ใช่คนในพื้นที่ การใช้ อสม. จึงคุ้มค่าและได้ข้อมูลที่ตรงกับความเป็นจริงมากกว่า
อย่างไรก็ตาม ตัวชี้วัดความสำเร็จของโครงการบัตรคนจนคงต้องรอดูอีกอย่างน้อย 1-2 ปี แต่ที่แน่นอนคือเม็ดเงิน 4 หมื่นล้านในบัตรคนจนแม้จะไม่มากแต่ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจอีกทางหนึ่ง ระหว่างนี้ภาครัฐจะต้องปรับปรุงด้านการคัดกรองให้มีช่องโหว่น้อยที่สุด โดยบูรณาการความร่วมมือกับกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ และกระทรวงสาธารณสุข ในการปรับปรุงฐานข้อมูล มุ่งเป้าไปที่กลุ่มคนจนที่ต้องการความช่วยเหลือ เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตคนจนได้อย่างถูกจุด
อัพเดท ข่าวอสังหาริมทรัพย์ สดใหม่ทุกวัน พร้อมส่งตรงถึงอีเมล์ของคุณฟรี สมัครได้ที่นี่ หรือหากคุณกำลังมองหาบ้านคอนโด ก็สามารถเลือกชม โครงการใหม่ พร้อม รีวิวโครงการคอนโดใหม่ บ้านใหม่ หลากหลายทำเลและราคาได้เช่นกัน