ปัจจุบันการ “กู้ร่วม” ถือเป็นวิธีการสร้างอนาคตร่วมกัน และช่วยเพิ่มโอกาสในการอนุมัติวงเงินกู้บ้านได้ โดยเฉพาะในเดือนแห่งความความรัก คู่รักหลายๆ คนเริ่มวางแผนอนาคต และลงหลักปักฐานด้วยการกู้ร่วมซื้อบ้านสักหลัง และกลายเป็น “ลูกหนี้ร่วม” ด้วยกัน โดยจะต้องรับผิดชอบและยอมรับภาระหนี้ไปด้วยกัน ซึ่งการกู้ร่วมนั้นจะมีกรรมสิทธิ์ผู้ถือครองสำหรับบ้านหรือคอนโดฯ สองแบบ คือ แบบที่ 1 การใส่ชื่อคนเดียวเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ แต่เวลากู้มีผู้กู้ร่วม และ แบบที่ 2 ใส่ชื่อผู้กู้ทุกคนเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ร่วมกัน โดยคู่รักส่วนใหญ่มักจะใส่ชื่อในการถือครองกรรมสิทธิ์ร่วมกันเพื่อความเท่าเทียม แต่ด้วยวงเงินกู้ที่สูง และมีระยะเวลาการชำระที่ยาวนาน ระหว่างทางคู่รักที่กู้ร่วมไม่อาจหยั่งอนาคตได้เลยว่าจะเกิดอะไรขึ้น หากวันหนึ่งคู่รักต้องมีปัญหาแยกทางกัน ขึ้นมาจะทำอย่างไรกับบ้านที่มีชื่อเป็นกรรมสิทธิ์รวม
ส่วนใหญ่กรณีคู่รักมีการทะเลาะกัน หรือ จำเป็นต้องแยกทางกัน แต่ถือครองกรรมสิทธิ์รวมของอสังหาริมทรัพยนั้นอยู่ จะมีทางออกหลักๆ อยู่ด้วยกัน 3 กรณี คือ
1.กรณีคู่รักที่แยกทางต้องการขายบ้านหรืออสังหาฯ ที่ครอบครองด้วยกัน
ในกรณีนี้จะทำได้ก็ต่อเมื่อได้รับการยินยอมจากผู้ถือกรรมสิทธิ์ร่วมทุกคน ดังนั้นการจะขายบ้านหรือคอนโดฯ ที่มีกรรมสิทธิ์ร่วมกันนั้น จึงต้องมีกันตกลงกันแล้วว่าทั้งสองฝ่ายต้องการขาย ซึ่งทางออกนี้ถือเป็นทางออกที่ดีที่สุด เพราะผู้กู้ร่วมทั้งสองคนจะไม่มีภาระผูกพันกันทางหนี้สินอีกต่อไป หลายคู่มีการทำหนังสือสัญญามีลายลักษณ์อักษรตกลงกันเรื่องผลประโยชน์กันล่วงหน้าก่อนขาย เพื่อความสบายใจของทั้งสองฝ่าย โดยอสังหาฯ ที่กู้ร่วมส่วนใหญ่และยังผ่อนชำระอยู่จะตกอยู่ในทรัพย์สินที่เป็นหนี้ธนาคาร ดังนั้นเมื่อขายได้ก็ต้องจ่ายเงินคือให้กับแบงก์ที่ทำเรื่องกู้ โดยหากได้ส่วนต่างเท่าไหร่ก็แบ่งตามสัดส่วนคนละครึ่งหรือตามตกลงในสัญญา
2.กรณีคู่รักที่แยกทางกันและมีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งต้องการผ่อนต่อ
ในกรณีนี้ ต้องมีการตกลงกันระหว่างคู่รักที่แยกทางเฉกเช่นกรณีแลก ว่าใครจะเป็นผู้รับผิดชอบผ่อนบ้านหรือคอนโดฯ กับแบงก์ต่อไป โดยทางธนาคารก็จะประเมินความสามารถของฝ่ายที่ต้องการผ่อนต่อคนเดียว ถ้าผ่านการประเมิน และผู้กู้ร่วมอีกฝ่ายเซ็นยินยอม ก็เป็นอันเรียบร้อย แต่ปัญหาที่พบกันส่วนใหญ่คือผู้ที่จะทำการผ่อนต่อยังมีความสามารถในการผ่อนบ้านหรือคอนโดฯ คนเดียวไม่ได้ ก็ยากที่จะถอนชื่อผู้กู้ร่วมออก ดังนั้นสิ่งที่พอทำได้สำหรับผู้ที่ต้องการจะผ่อนบ้านหรือคอนโดฯ ต่อ ก็คือการรีไฟแนนซ์ไปธนาคารอื่นเพื่อเปลี่ยนชื่อกู้ร่วม ซึ่งหากทางธนาคารใหม่ที่ยื่นขอสินเชื่อพิจารณาแล้วว่าผู้ขอรีไฟแนนซ์ไม่มีความสามารถในการผ่อนชำระหนี้สินได้ ธนาคารก็จะให้หาผู้กู้ร่วมเข้ามาใหม่ และดำเนินการรีไฟแนนซ์ต่อไป ซึ่งในกรณีนี้อาจจะต้องขอความร่วมมือจากเครือญาติหรือคนในครอบครัว เพื่อตัดปัญหาจากคู่รักที่ต้องการแยกทางออกไป ในกรณีที่ผู้ร่วมมีกำลังผ่อนไหว แต่ไม่สามารถกู้คนเดียวได้
ทั้งนี้ ค่าธรรมเนียมในการเปลี่ยนแปลงชื่อผู้กู้ ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขของทางธนาคาร กรณีที่ฝ่ายที่ต้องการบ้านหรือคอนโดฯ นั้นอยากใช้วิธีรีไฟแนนซ์ ให้ศึกษาเงื่อนไข ค่าธรรมเนียมต่างๆ เพื่อเป็นข้อมูลเปรียบเทียบก่อนตัดสินใจเลือกแนวทางที่เหมาะสมที่สุดสำหรับตนเอง
3.กรณีที่ตกลงกันไม่ได้ มีชื่อผู้กู้ร่วมในกรรมสิทธิ์ แต่มีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งผ่อนต่อเพียงคนเดียวจนหมด
การกู้ร่วมด้วยกัน แต่เมื่อมีปัญหากันตกลงกันไม่ได้ แยกทางกันไปโดยไม่มีการตกลงจะทำการถอนชื่อผู้กู้ร่วม หรือ ไม่มีการยินยอม ทำให้มีผู้ใดผู้หนึ่งที่ต้องการจะรักษาทรัพย์สินไว้ผ่อนเองคนเดียวจนหมด จะทำให้เมื่อโอนกรรมสิทธิ์จากธนาคาร กลายเป็นโฉนดที่มีชื่อเจ้าของร่วม 2 คน กรณีนี้หากมีการฟ้องร้องตอนการถอนชื่อเจ้าของร่วมออก ทางกฎหมายจะสันนิษฐานไว้ก่อนว่า บุคคลผู้มีชื่อในทะเบียนเป็นผู้มีอิทธิพลครอบครอง เพราะฉะนั้นทั้งสองชื่อจะ เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ร่วมกันในบ้าน หากฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดมีการอ้างว่าทำการผ่อนชำระบ้านมาคนเดียวโดยตลอด โดยมีหลักฐานในการหักหนี้จากธนาคารทุกเดือน ฝ่ายที่เป็นคนผ่อนเพียงผู้เดียวย่อมมีสิทธิเหนือกว่าในการนำสืบถึงการผ่อนชำระราคาบ้านโดยลำพังต่อศาลได้ ถึงแม้ว่าโฉนดจะเป็นชื่อเจ้าของร่วมก็ตาม โดยหากฝ่ายที่ผ่อนชำระแต่เพียงผู้เดียวต้องการเอาชื่อเจ้าของร่วมออกไปจากโฉนด สามารถใช้สิทธิทางศาล ตาม ป.วิ.แพ่ง มาตรา 55 ว่าด้วย “เมื่อมีข้อโต้แย้งเกิดขึ้น เกี่ยวกับสิทธิหรือหน้าที่ของบุคคลใดตามกฎหมายแพ่ง หรือบุคคลใดจะต้องใช้สิทธิทางศาล บุคคลนั้นชอบที่จะเสนอคดีของตนต่อศาลส่วนแพ่งที่มีเขตอำนาจได้ ตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายแพ่งและประมวลกฎหมายนี้” เพื่อขอถอนชื่อออกจากโฉนดได้ โดยการพิจารณาจากข้อมูลนำสืบต่างๆ ของศาล แต่ตราบใดศาลยังไม่ได้มีคำพิพากษาหรือคำสั่งเพิกถอนชื่อเจ้าของร่วมออกจากโฉนด เจ้าของร่วมนั้นก็ยังได้ชื่อว่าเป็นเจ้าของบ้านร่วมอยู่ และนำฐานตรงนี้มาอ้างได้ว่าเขาเป็นเจ้าของบ้านเหมือนกัน
ดังนั้นหากเกิดปัญหาต้องเลิกลาแยกคนละทาง ทางควรหาทางออกที่ดีที่สุด โดยการถอนชื่อผู้กู้ร่วมออกตั้งแต่แรก หรือ ทำการขายทรัพย์สินนั้นๆ และแบ่งกันคนละครึ่ง หากทราบดีว่าจะต้องทำการผ่อนชำระอสังหาฯ นั้นๆ เพียงลำพัง หากคิดว่าไม่เป็นไรหากจะมีชื่อผู้กู้ร่วมติดอยู่ โดยที่มีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเป็นคนผ่อนชำระคนเดียว ให้คิดใหม่ เพราะเมื่อผ่อนหมด โฉนดออกมาจะอสังหาฯ นั้นๆ ก็จะมีชื่อของผู้ร่วมกู้นั้นด้วย เพราะฉะนั้นเพื่อสิทธิของเราอย่าปล่อยให้ผู้อื่นมาตักตวงผลประโยชน์ภายหลัง หรือ ต้องมาเสียค่าใช้จ่ายในการฟ้องร้องเกิดขึ้นในอนาคต ก่อนตัดสินใจจะเป็นเจ้าของร่วมกรรมสิทธิ์กับใคร ก็ต้องคิดหน้าคิดหลังของ ทำการไตร่ตรองให้ดี อย่างน้อยหากต้องแยกจากกันไปจะได้ไม่มีเรื่องบาดหมางกัน
อัพเดท ข่าวอสังหาริมทรัพย์ สดใหม่ทุกวัน พร้อมส่งตรงถึงอีเมล์ของคุณฟรี สมัครได้ที่นี่ หรือหากคุณกำลังมองหา บ้าน คอนโด ก็สามารถเลือกชม โครงการใหม่ พร้อม รีวิวโครงการคอนโดใหม่ บ้านใหม่ หลากหลายทำเลและราคาได้เช่นกัน
เรื่องข้างต้นนี้เขียนโดย กิตติคม พจนี Content Writer ประจำ DDproperty.com หากมีคำถามเพิ่มเติมสามารถติดต่อได้ที่ kittikom@ddproperty.com