สถาบันการเงินจับทิศอสังหาฯยุค 4.0 ชี้ส่งออก-ท่องเที่ยว-ลงทุนภาครัฐหนุน พร้อมจับตาปัจจัยเสี่ยงระยะสั้น แนะผู้ประกอบการวิจัยตลาดก่อนลงทุน ทั้งนี้ประเมินภาพรวมยอดการเปิดตัวและการขายจะเติบโตได้ราว 6-8%
ดร.พิพัฒน์ เหลืองนฤมิตชัย ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการและหัวหน้าทีมวิจัยลูกค้าบุคคล บริษัท หลักทรัพย์ภัทร จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ในปีนี้ประเมินว่าเศรษฐกิจไทยน่าจะขยายตัวได้ในระดับ 3.2%ใกล้เคียงกับปีก่อน โดยปัจจัยสนับสนุนมาจากการส่งออก ท่องเที่ยว และการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานจากภาครัฐแต่ยังคงต้องติดตามปัจจัยเสี่ยงไม่ว่าจะเป็นการบริโภคและการลงทุนภายในประเทศของภาคเอกชนและประเด็นที่เกี่ยวข้องกับนโยบายการค้าของสหรัฐ ขณะเดียวกันในระยะสั้นมีปัจจัยเสี่ยงที่ต้องจับตาคือสภาพเศรษฐกิจโดยรวม หนี้ครัวเรือน และนโยบายการปล่อยสินเชื่อที่เข้มงวด แม้ความต้องการด้านสินเชื่อจะเพิ่มขึ้นก็ตาม นอกจากนี้ยังมีเรื่องอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่คาดว่าจะมีการปรับขึ้นในปีหน้าหากสหรัฐอเมริกามีการปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายในปีนี้ที่คาดว่าจะปรับไม่น้อยกว่า 2 ครั้ง สิ่งเหล่านี้มีผลโดยตรงกับภาคอสังหาริมทรัพย์ซึ่งผู้ประกอบการจำเป็นต้องปรับตัว
“ภาคการท่องเที่ยวโดยเฉพาะหัวเมืองจะเป็นตัวผลักดันให้ธุรกิจอสังหาฯประเภทโรงแรมและคอนโดฯมีโอกาสเติบโต นอกจากนี้ ตลาดบ้านเดี่ยวระดับกลางและบนในกรุงเทพฯ และปริมณฑล รวมถึงต่างจังหวัดโดยเฉพาะหัวเมืองใหญ่ยังเติบโตได้ดีเนื่องจากยังมีกำลังซื้อแม้ว่าภาพรวมอสังหาริมทรัพย์จะยังคงชะลอตัวก็ตาม อย่างไรก็ดีภาคอสังหาฯในปีนี้ยังต้องเผชิญกับความท้าทายไม่ว่าจะเป็นต้นทุนทางการเงินและต้นทุนค่าวัสดุก่อสร้างที่มีทิศทางเพิ่มขึ้น ราคาที่ดินยังคงปรับตัวสูงต่อเนื่อง และแรงงานก่อสร้างขาดแคลน ทั้งนี้ผู้ประกอบการควรต้องดูเรื่องของดีมานด์และซัพพลายในพื้นที่ รวมทั้งศึกษาเทรนด์ตลาดซึ่งกระแส สังคมสูงวัย, รักสุขภาพ รวมถึงสังคมเมือง เริ่มมาแรง ดังนั้นต้องหาทำเลพัฒนาโครงการที่เหมาะสมกับความต้องการของตลาด”
นางจิราภรณ์ ลินมณีโชติ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ สายงานวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ ภัทร จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ปีนี้คาดว่ายอดการเปิดตัวและการขายของตลาดโดยรวมจะมีอัตราการเติบโตประมาณ 6-8% ส่วนหนึ่งมาผู้ประกอบการรายใหญ่ 2 ราย คือ แลนด์แอนด์เฮ้าส์ และแสนสิริ ที่วางแผนการเปิดตัวโครงการน้อยลงในปีนี้ ในขณะที่ผู้ประกอบการรายเล็กอาจพบอุปสรรคในการหาเงินทุนเนื่องจากความไม่มั่นใจในสภาพเครดิต ซึ่งคาดว่าผู้ประกอบการรายใหญ่จะยังคงรักษาส่วนแบ่งตลาดในอัตราที่สูงอยู่เช่นเดิมจากตัวเลขการขายและการเปิดตัวโครงการ
ทั้งนี้ มองว่ายังไม่โอเวอร์ซัพพลาย และโครงการส่วนใหญ่ยังมีอายุโครงการไม่เกิน 4 ปี ซึ่งถือเป็นอายุโครงการตามปกติ แต่อย่างไรก็ตามสินค้าคงเหลือของคอนโดฯมีอัตราเพิ่มขึ้นชัดเจนโดยต้นปีนี้มีอยู่ 4.3 หมื่นหน่วย และคาดว่าสิ้นปีนี้มีถึง 3.9 หมื่นหน่วย โดยเฉพาะตลาดคอนโดที่มีระดับราคาต่ำกว่า 2 ล้านบาท ที่น่าเป็นห่วงทางผู้ประกอบการต้องใช้กลยุทธ์ในการขายมาช่วยระบายสินค้า ซึ่งมองว่าทำเลและความสามารถในการกู้เงินของผู้ซื้อเป็นตัวแปรที่สำคัญในการลดสินค้าคงเหลือของคอนโดมิเนียม อย่างไรก็ดีคาดว่าตลาดอสังหาฯโดยรวมจะเติบโต 5-6% ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับอัตราการเติบโตของจีดีพีและหนี้ภาคครัวเรือน
ขณะที่ ในปี 2560 ภาคอสังหาฯในกรุงเทพและปริมณฑล ยังคงปรับฐานต่อเนื่องจากปี 2559 หลังมาตรการกระตุ้นของภาครัฐหมดอายุลง ทั้งนี้ แม้ว่าภาพรวมอสังหาริมทรัพย์จะยังคงชะลอตัว แต่ยังมีบางตลาดที่สามารถเติบโตได้ เช่น ตลาดบ้านเดี่ยวในกรุงเทพฯและปริมณฑล รวมถึงต่างจังหวัดโดยเฉพาะหัวเมืองใหญ่ ผู้ประกอบการจึงควรหันไปเน้นตลาดบ้านเดี่ยวกลุ่มลูกค้าระดับกลางและบนเนื่องจากยังมีกำลังซื้อ
อย่างไรก็ดีในปีนี้อสังหาฯยังเผชิญความท้าทายในหลายๆปัจจัย ดังนั้น ผู้ประกอบการควรทำการวิเคราะห์วิจัยอุปสงค์และอุปทานในพื้นที่ก่อนพัฒนาโครงการเพื่อเลือกผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสม รวมทั้งการวางแผนบริหารจัดการเงินสดเพื่อรักษาสภาพคล่อง นอกจากนี้ต้องจับกระแสโครงการภาครัฐ เช่น โครงการรถไฟฟ้าส่วนต่อขยาย โครงการรถไฟรางคู่ โครงการเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก รวมไปถึงเทคโนโลยี 4.0 เช่น การใช้เทคโนโลยี Smart Phone ในการสั่งงานต่าง ๆ ภายในบ้านและใช้บริการในโครงการเป็นต้น
อัพเดท ข่าวอสังหาริมทรัพย์ สดใหม่ทุกวัน พร้อมส่งตรงถึงอีเมล์ของคุณฟรี สมัครได้ที่นี่ หรือหากคุณกำลังมองหาบ้านคอนโด ก็สามารถเลือกชม โครงการใหม่ พร้อม รีวิวโครงการคอนโดใหม่ บ้านใหม่ หลากหลายทำเลและราคาได้เช่นกัน
