แนวโน้มการลงทุนอสังหาริมทรัพย์ในต่างประเทศมีทิศทางการเติบโตมากขึ้น โดยเมืองที่ได้รับความสนใจไม่ว่าจะเป็นลอนดอน ฮ่องกง โตเกียว นิวยอร์ค โดยเฉพาะลอนดอน ถือว่าเป็นศูนย์กลางการศึกษาของกลุ่มเศรษฐีชาวไทย ซึ่งพบว่า 80% ซื้อเพื่อใช้เป็นที่พักของบุตรหลาน และอีก 20 % ซื้อเพื่อลงทุนปล่อยเช่าและเก็งกำไร
ด้านนายพนม กาญจนเทียมเท่า กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไนท์แฟรงค์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า สำหรับเทรนด์การลงทุนของนักลงทุนต่างชาตินั้น จะเน้นในเมืองใหญ่และผู้ประกอบการหันไปซื้อทรัพย์สินตั้งแต่อาคารขนาดเล็กไปถึงขนาดใหญ่รวมถึงโรงแรม โดยมีผู้ประกอบการบางรายซื้อกว่า 1 หมื่นล้านบาท
ทั้งนี้จากผล Brexit ทำให้ค่าเงินปอนด์อ่อนตัวลง 20% และราคาอสังหาฯปรับลดลงจากปี 2559 ประมาณ 8-10% ขณะที่ตลาดที่อยู่อาศัยระดับลักซ์ชัวรี่ ปรับลดลง 20% อีกทั้งผู้ซื้อมีอำนาจต่อรองราคาได้มากขึ้นและด้วยราคาที่ลดลงในตลาดรีเซลทำให้เมืองลอนดอนมีศักยภาพด้านการลงทุนที่สุด เนื่องจากตอนนี้ดอกเบี้ยเงินกู้อยู่ที่ 2-4% ต่อปี ขณะที่อัตราผลตอบแทนอยู่ราว 3.5-4.8% ต่อปี แต่ขึ้นอยู่กับโลเคชั่น ดังนั้นจึงเป็นโอกาสให้นักลงทุนทำกำไรในช่วงนี้
ขณะที่ มร.แฟรงค์ ข่าน กรรมการบริหาร หัวหน้าฝ่ายที่ปรึกษาด้านที่พักอาศัย บริษัท ไนท์แฟรงค์ ชาร์เตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด เสริมว่า ในปีที่แล้วทางบริษัทขายอสังหาฯในลอนดอนได้ 12 ยูนิต มูลค่ารวมประมาณ 720 ล้านบาท แบ่งเป็นอพาร์ตเม้นต์ 9 ยูนิตราคาเฉลี่ย 51 ล้านบาท และบ้าน 3 ยูนิต ราคาเฉลี่ย 86.5 ล้านบาท
และในปีนี้ตั้งเป้ายอดขาย 30 ยูนิต มูลค่ารวมประมาณ 2,000 ล้านบาท เนื่องจากพบความต้องการมีมากขึ้น อีกทั้งค่าเงินปอนด์ลดลง ประกอบกับซัพพลายในทำเลดีมีไม่มาก
อย่างไรก็ดี ลอนดอนยังเป็นศูนย์กลางการลงทุนที่มีระบบการเงินที่มั่นคงและโครงสร้างพื้นฐานที่ดี รวมถึงโครงการสร้างทางรถไฟแบบครอสเรลในอนาคต ซึ่งคาดว่าจะแล้วเสร็จในเดือนธันวาคม 2562 ซึ่งจะช่วยเพิ่มการเดินทางเชื่อมต่อไปยังเซ็นทรัล ลอนดอน สิ่งเหล่านี้กลายเป็นปัจจัยทำให้อสังหาฯในลอนดอนตอนนี้น่าลงทุนเป็นอย่างมาก
ขณะเดียวกัน มีรายงานความมั่งคั่งทั่วโลกครั้งที่11 ระบุว่า จำนวนของกลุ่มอภิมหาเศรษฐีที่มีทรัพย์สินสุทธิสูงประมาณพันล้านบาทในปี2559 มีจำนวนเพิ่มขึ้นถึง 6,340 คน จากการกลุ่มมหาเศรษฐีจาก 125 เมืองใน 89 ประเทศทั่วโลก โดยในทวีปเอเชียมีมหาเศรษฐีพันล้านมากขึ้นโดยจีนจัดอยู่ในลำดับต้นๆที่เพิ่มขึ้นถึง 140% โดยเมืองเซี่ยงไฮ้และปักกิ่งคาดว่าจะมีจำนวนใกล้เคียงกับสหรัฐที่มีจำนวนมหาเศรษฐีในเมืองนิวยอร์กที่มีมาถึง 7,722 คน และทวีปอเมริกาเหนือยังเป็นศูนย์กลางที่สำคัญของกลุ่มอภิมหาเศรษฐีด้วยจำนวนมากถึง 95,860 คน อย่างไรก็ดีคาดว่าในอีก 10 ปีข้างหน้าจะมีอัตราการเติบโตของเศรษฐีทั่วโลกที่ 43% โดยเอเชียจะเพิ่มแซงทุกภูมิภาคอื่นอยู่ที่ 91% ส่วนไทยจะอยู่ที่ 84% ขณะที่ยุโรปจะเพิ่มขึ้นเพียง 12% เท่านั้น
อัพเดท ข่าวอสังหาริมทรัพย์ สดใหม่ทุกวัน พร้อมส่งตรงถึงอีเมล์ของคุณฟรี สมัครได้ที่นี่ หรือหากคุณกำลังมองหาบ้านคอนโด ก็สามารถเลือกชม โครงการใหม่ พร้อม รีวิวโครงการคอนโดใหม่ บ้านใหม่ หลากหลายทำเลและราคาได้เช่นกัน