มีข่าวปรับขึ้นค่า Ft (เอฟที) ทีไร หลายคนก็จะมองว่า ปวดใจทุกครั้งไป เพราะหวั่นเกรงว่า “ค่าไฟฟ้าจะขึ้น” อย่างแน่นอน ซึ่งก็ต้องยอมรับว่า ค่า Ft (เอฟที) มีผลกับค่าไฟฟ้าที่เราจะต้องจ่าย
เมื่อไหร่ก็ตามที่ค่า Ft (เอฟที) ปรับขึ้น ค่าไฟก็จะขยับขึ้น และเมื่อไหร่ที่ ค่า Ft (เอฟที) ปรับลด ค่าไฟก็จะขยับลดลง แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ก็ขึ้นอยู่กับปริมาณการใช้ไฟฟ้าของเราด้วยเช่นกัน
สำหรับการเปลี่ยนแปลงของ ค่า Ft (เอฟที) ก็มีผลกระทบกับเรา แต่ก็ไม่ใช่องค์ประกอบหลักทั้งหมด ซึ่งถ้าเราเรียนรู้โครงสร้างการคิดค่าไฟแล้ว เราจะเข้าใจ และเรียนรู้การใช้ไฟให้ประหยัดเงินในกระเป๋าเรามากขึ้น
ค่าไฟฟ้าที่การไฟฟ้าเรียกเก็บจากผู้ใช้ไฟฟ้าในแต่ละเดือนประกอบด้วย 3 ส่วน คือ
1. ค่าไฟฟ้าฐาน คือ ค่าการใช้ไฟฟ้า ซึ่งจะคิดจากต้นทุนในการผลิตไฟฟ้า โดยวิธีการคำนวณก็จะแบ่งตามประเภทผู้ใช้งาน เช่น ประเภทที่ 1 ที่อยู่อาศัย ประเภทที่ 2 กิจการขนาดเล็ก ประเภทที่ 3 กิจการขนาดกลาง ฯลฯ และในแต่ละประเภท ก็จะแบ่งหน่วยการคิดค่าไฟฟ้าแยกย่อยตามแต่ละหน่วยที่แบ่งการคิดต้นทุนไว้
2. ค่าไฟฟ้าตามสูตรการปรับอัตราค่าไฟฟ้าโดยอัตโนมัติ หรือ ค่าไฟฟ้าผันแปร หรือที่เรียกสั้นๆ ว่าค่า Ft ซึ่งเป็นค่าใช้จ่ายด้านเชื้อเพลิง ค่าซื้อไฟฟ้าของ กฟผ. และค่าใช้จ่ายตามนโยบายภาครัฐ ที่เปลี่ยนแปลงไปจากระดับที่กำหนดไว้ในค่าไฟฟ้าฐาน โดยค่า Ft มีการปรับปรุงทุกๆ 4 เดือน
3. ภาษีมูลค่าเพิ่ม นอกจากค่าไฟฟ้าฐาน และค่า Ft ดังกล่าวแล้ว ผู้ใช้ไฟฟ้าจะต้องชำระภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT 7%) รวมกับค่าไฟฟ้าฐาน และค่า Ft ด้วย
เนื่องจากว่า ค่า Ft จะมีการประกาศปรับปรุงทุกๆ 4 เดือนตามแต่ต้นทุนค่าใช้จ่ายต่างๆ ในช่วงเวลานั้น และทุกครั้งที่มีการเปลี่ยนแปลง ก็จะมีการประกาศให้ประชาชนรับทราบ และเมื่อใดก็ตามที่มีการประกาศ “ปรับขึ้นค่า Ft” เมื่อนั้นก็ทำให้ภาคประชาชน กังวลว่า ค่าไฟฟ้าจะปรับขึ้น ดังนั้น ค่า Ft จึงองค์ประกอบของค่าไฟฟ้าที่ผู้บริโภคอย่างเราๆ รู้สึกว่ามีผลกระทบกับค่าไฟฟ้าที่เราจะต้องจ่ายเป็นหลัก (ทั้งที่จริงๆ แล้ว ค่าไฟฐาน เป็นองค์ประกอบหลักของค่าไฟ แล้วไหนจะยังมี VAT 7% อีก)
ในรอบเดือนม.ค. – เม.ย. 2560 ค่า Ft เท่ากับ -37.29 สตางค์/หน่วย (0.3729 บาท) และล่าสุดตามที่มีรายงานข่าวว่า ค่า Ft รอบเดือนพ.ค.– ส.ค. 2560 เท่ากับ -24.77 สตางค์/หน่วย (0.2477 บาท) ซึ่งเพิ่มขึ้นจากรอบก่อน 5.13 สตางค์/หน่วย
จะเห็นว่า ตัวเลข Ft เป็นค่า ติดลบ ซึ่งเป็นผลจากรอบเดือนพฤศจิกายน 2558 – ธันวาคม 2558 คณะกรรมการกํากับกิจการพลังงาน (กกพ.) ได้ปรับสูตรการคิดค่าไฟใหม่ โดยนำค่า Ft เดิมซึ่งเป็นตัวเลขอยู่ที่ประมาณ 30-50 สตางค์/หน่วย ไปรวมกับโครงสร้างอัตราค่าไฟขายปลีก จึงทำให้ค่า Ft กลายเป็นตัวเลขติดลบ ก็คือ นำค่า Ft ไปหักจากค่าไฟฐาน
ดังนั้น ถ้าสรุปให้เข้าใจแบบง่ายๆ เมื่อไหร่ก็ตามที่ ค่า Ft ซึ่งเป็นตัวเลขติดลบกลายเป็นตัวเลขที่น้อยลง ก็หมายถึง ตัวที่จะนำไปหักกับค่าไฟฐานลดลง เราก็อาจจะต้องจ่ายค่าไฟเพิ่มขึ้น
ตัวอย่างการคำนวณค่าไฟฟ้า
ตัวอย่างที่ 1 บ้านทาวน์เฮาส์ 18 ตร.ว. มีเครื่องใช้ไฟฟ้าพื้นฐานครบ + เครื่องปรับอากาศ 1 ตัว
ตามค่า Ft ประจําเดือนม.ค. – เม.ย. 2560 เท่ากับ -37.29 สตางค์/ หน่วย
กรณีใช้ไฟฟ้ารวมทั้งเดือน = 500 หน่วย
ตัวอย่างที่ 2 บ้านทาวน์เฮาส์ 18 ตร.ว. มีเครื่องใช้ไฟฟ้าพื้นฐานครบ + เครื่องปรับอากาศ 1 ตัว
ตามค่า Ft ประจําเดือนพ.ค. – ส.ค. 2560 เท่ากับ -24.77 สตางค์/ หน่วย
กรณีใช้ไฟฟ้ารวมทั้งเดือน = 500 หน่วย
เปรียบเทียบ ตัวอย่างที่ 1 กับ ตัวอย่างที่ 2 ที่ใช้เท่ากัน 500 หน่วย แต่ค่า Ft มีการเปลี่ยนแปลง
ประเมินจากตารางเปรียบเทียบแล้ว เงินค่าไฟที่แตกต่างกันเพราะค่า Ft ก็ถือว่าไม่น้อยทีเดียว ซึ่งถ้ากรณีที่เราใช้ไฟเพิ่มขึ้น ค่า Ft ก็จะเพิ่มขึ้นด้วยเช่นกัน โดยแนวโน้มค่า Ft ยังมีโอกาสปรับสูงขึ้นต่อเนื่องจนถึงสิ้นปีนี้ และมีผลทำให้ค่าไฟฟ้าปีนี้อยู่ในช่วงขาขึ้น ดังนั้น เราควรหาวิธีประหยัดการใช้พลังงาน เพื่อลดทั้งค่าไฟฐาน ซึ่งเป็นองค์ประกอบหลัก และค่า Ft ที่ผันผวนตามค่าไฟฐานด้วย
หมายเหตุ : ข้อมูลบางส่วนจากเว็บไซต์การไฟฟ้านครหลวง โดยผู้อ่านสามารถทดลองคำนวณค่าไฟด้วยตัวเองได้ที่ www.mea.or.th/aboutelectric/116/280/form/11 (ข้อมูล ณ วันที่ 5 พ.ค. 2560 ค่า Ft ในระบบคำนวณยังเป็นค่า Ft ของรอบเดือนม.ค.-เม.ย. 60 ซึ่งเท่ากับ -37.29 สตางค์/ หน่วย หากต้องการคำนวณให้ใกล้เคียงค่าไฟจริง ควรคำนวณด้วยค่า Ft ปัจจุบัน)
อัพเดท ข่าวอสังหาริมทรัพย์ สดใหม่ทุกวัน พร้อมส่งตรงถึงอีเมล์ของคุณฟรี สมัครได้ที่นี่ หรือหากคุณกำลังมองหาบ้าน คอนโด ก็สามารถเลือกชม โครงการใหม่ พร้อม รีวิวโครงการคอนโดใหม่ บ้านใหม่ หลากหลายทำเลและราคาได้เช่นกัน