จากข้อมูลของธนาคารแห่งประเทศไทย หรือ ธปท. ได้เปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ หรือ NPL ไตรมาส 1/2560 ในส่วนยอดคงค้างของเงินให้สินเชื่อด้อยคุณภาพ (Gross NPLs) พบว่า NPL ของธนาคารพาณิชย์ทั้งระบบมียอดเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 405,328 ล้านบาท หรือคิดเป็น 2.95% ต่อสินเชื่อรวม เพิ่มขึ้น 13% หรือ 47,246 ล้านบาทจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ยอด NPL อยู่ที่ 358,082 ล้านบาท หรือ 2.64% ต่อสินเชื่อรวม และเพิ่มขึ้น 18,743 ล้านบาท หรือ 4.84% จากไตรมาส 4/2559 ที่มี NPL อยู่ที่ 386,585 ล้านบาท หรือ 2.83% ต่อสินเชื่อรวม
โดย Gross NPLs ในกลุ่ม SMEs นั้นมีมากกว่ากลุ่มอื่น โดยเพิ่มขึ้นจากไตรมาส 4/2559 ซึ่งอยู่ที่ 4.35% มาอยู่ที่ 4.48% ในไตรมาส 1/2560 ส่วนกลุ่มสินเชื่ออุปโภคบริโภคก็ยังคงมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเช่นกันจากระดับ 2.71% มาอยู่ที่ 2.82% โดยการเพิ่มขึ้นมาจากสินเชื่อที่อยู่อาศัยเป็นสำคัญ แม้ว่าสินทรัพย์ประเภทที่อยู่อาศัยจะเป็นหนี้เสียอันดับท้ายสุดเมื่อเทียบกับสินเชื่อประเภทอื่น แต่หนี้เสียสินเชื่อที่อยู่อาศัยกลับขยับเพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ 4 (2.93%) มาอยู่ที่ 3.23% ในไตรมาสแรกของปีนี้
แบงก์ยื่นมือช่วย ‘ลดดอกเบี้ย’
จาก NPL ที่เพิ่มสูงขึ้นทำให้แต่ละธนาคารและธุรกิจธนาคารที่ไม่ใช่สถาบันการเงินหรือ Non-bank ต่างปรับตัวกันอย่างเต็มที่ ทั้งการคัดกรองลูกค้าอย่างเข้มงวด การปรับฐานเงินเดือนของผู้กู้เพิ่มขึ้น รวมทั้งมาตรการลดดอกเบี้ยที่ดึงลูกค้าชั้นดี มีวินัยทางการเงินเข้ามาในระบบ อาทิ
ธนาคารอาคารสงเคราะห์ ประกาศปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ 0.15-0.25% ต่อปี นำโดยอัตราดอกเบี้ยเงินกู้รายใหญ่ชั้นดีประเภทเงินกู้แบบมีระยะเวลา (MLR) จากเดิม 6.40% ต่อปี ลดลงเหลือ 6.25% ต่อปี และอัตราดอกเบี้ยเงินกู้รายใหญ่ชั้นดีประเภทเงินเบิกเกินบัญชี (MOR) จากเดิม 7.25% ต่อปี ลดลงเหลือ 7.00% ต่อปี ส่วนอัตราดอกเบี้ยสำหรับลูกค้ารายย่อยทั่วไป (MRR) คงไว้ที่ 6.75% ต่อปี เนื่องจากปัจจุบันอัตราดอกเบี้ย MRR ของ ธอส. อยู่ในระดับต่ำที่สุดในระบบสถาบันการเงิน
ธนาคารไทยพาณิชย์ ประกาศปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้สำหรับลูกค้ารายย่อยชั้นดี (MRR) ลง 0.25% ทำให้ดอกเบี้ย MRR เหลือ 7.62% นอกจากนี้ยังปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้สำหรับลูกค้ารายใหญ่ชั้นดีประเภทเงินเบิกเกินบัญชี (MOR) ลง 0.25% ลดเหลือ 7.12%
ธปท. วางมาตรการลดหนี้
ล่าสุด ธปท. ได้ลงนามความร่วมมือ “โครงการแก้ไขปัญหาหนี้ส่วนบุคคลที่ไม่มีหลักประกัน” หรือคลินิกแก้หนี้ ระหว่างธนาคารแห่งประเทศไทย สมาคมธนาคารไทย สมาคมธนาคารต่างประเทศ ธนาคารพาณิชย์ไทยและต่างประเทศ เป็นโครงการช่วยแก้ปัญหาลูกหนี้แบบองค์รวม โดยเฉพาะกลุ่มบัตรเครดิตและสินเชื่อส่วนบุคคลที่มีการขยายตัวเพิ่มขึ้นขึ้นต่อเนื่อง
ทั้งนี้ ได้มอบหมายให้บริษัท บริหารสินทรัพย์สุขุมวิท จำกัด (SAM) ซึ่งเป็นบริษัทนิติบุคคลที่จัดตั้งขึ้นตามมติคณะรัฐมนตรี ตั้งแต่ปี 2543 ทำหน้าที่เป็นหน่วยงานกลางคอยช่วยไกล่เกลี่ยให้ลูกหนี้ ที่มีเจ้าหนี้หลายรายให้สามารถได้ข้อยุติกับธนาคารเจ้าหนี้ในคราวเดียวกัน ซึ่งลูกหนี้ที่ต้องการเข้าร่วมโครงการต้องเป็นบุคคลธรรมดาที่อายุไม่เกิน 65 ปี ตลอดระยะเวลาที่อยู่ในโครงการ มีภาระหนี้ค้างชำระกับธนาคารพาณิชย์ที่เข้าร่วมโครงการมากกว่า 1 แห่ง ก่อนวันที่ 1 พฤษภาคม 2560 หนี้รวมกันไม่เกิน 2 ล้านบาท และต้องเป็นผู้ที่มีรายได้ประจำ
โดยผู้เข้าร่วมโครงการจะได้รับอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำลงโดยอยู่ที่ 4-7% สำหรับหนี้บัตรเครดิต ต้องเป็นหนี้บัตรที่ออกโดยธนาคารพาณิชย์ที่เข้าร่วมในโครงการนี้เท่านั้น ยกเว้นบัตรเครดิตที่ออกโดยบริษัทในเครือของธนาคาร นอกจากนี้ผู้เข้าร่วมโครงการจะต้องไม่ก่อหนี้เพิ่มเติมภายใน 5 ปี
นอกจากนี้ยังมีแนวคิดที่จะวางกรอบการปล่อยสินเชื่อส่วนบุคคลและสินเชื่อบัตรเครดิต “สำหรับลูกค้ารายใหม่” โดยสำหรับสินเชื่อส่วนบุคคลนั้น จะจำกัดวงเงินสินเชื่อให้สูงสุดไม่เกิน 3 เท่า จากเดิม 5 เท่าต่อรายได้ ขณะที่สำหรับสินเชื่อบัตรเครดิต จะจำกัดจำนวนการถือครองบัตรเครดิตสำหรับลูกค้าที่มีรายได้ต่ำกว่าเกณฑ์ที่กำหนด (เบื้องต้นคือ 30,000 บาทต่อเดือน) ให้ไม่เกิน 3 แห่ง และจำกัดวงเงินสินเชื่อให้สูงสุดไม่เกิน 3 เท่า จากเดิม 5 เท่าต่อรายได้
ภาพรวมสินเชื่อทั้งปีคาดโต 4-6%
ภาพรวมการขยายตัวของสินเชื่อในไตรมาสต่อไป ธปท. คาดการณ์ว่าจะได้รับปัจจัยบวกจากการเติบโตทางเศรษฐกิจที่คาดว่าจะขยายตัวได้ดีขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ เนื่องจากภาครัฐพยายามส่งเสริมให้เกิดการลงทุน หากการลงทุนเป็นไปตามเป้าหมายคาดว่าสินเชื่อทั้งปีน่าจะขยายตัวได้ที่ระดับ 4-6% จากไตรมาส 1/2560 เติบโตได้ 2.8% โดยมียอดสินเชื่อคงค้างอยู่ที่ 11.95 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้นจากไตรมาส 4/ 2559 ที่ขยายตัวอยู่ที่ 2% ซึ่งเป็นไปตามภาวะเศรษฐกิจที่ทยอยการฟื้นตัว แต่ยังได้รับแรงกดดันจากภาวะหนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูงทำให้การเติบโตสินเชื่ออาจจะยังไม่สูงมากนัก
อย่างไรก็ตาม หากเศรษฐกิจฟื้นตัวชัดเจนมากขึ้น ก็จะเห็นอัตราการเพิ่มขึ้นของ NPL ค่อย ๆ ทรงตัวและนิ่งได้ หลังจากนั้นจะปรับลดลงได้ในที่สุด ซึ่งก่อนจะถึงเวลานั้นการมีวินัยทางการเงินจะเป็นคำตอบที่ถูกที่สุดในการผ่านพ้นภาระหนี้สินล้นพ้นตัวไปได้
อัพเดท ข่าวอสังหาริมทรัพย์ สดใหม่ทุกวัน พร้อมส่งตรงถึงอีเมล์ของคุณฟรี สมัครได้ที่นี่ หรือหากคุณกำลังมองหาบ้านคอนโด ก็สามารถเลือกชม โครงการใหม่ พร้อม รีวิวโครงการคอนโดใหม่ บ้านใหม่ หลากหลายทำเลและราคาได้เช่นกัน