หากใครเกิดทันในช่วงปี 2530 คงจะได้เห็นภาพเศรษฐกิจไทยที่ขึ้นสู่จุดสูงสุด มีอัตราเติบโตของจีดีพีสูงถึง 7-10% ต่อปี เรียกว่าเป็นช่วงขาขึ้นจนเกือบทำให้ไทยได้รับการขนานนามเป็นเสือตัวที่ห้าของเอเชีย แต่การเติบโตครั้งนั้นคือการเติบโตบนฐานที่แสนจะเปราะบาง และใช้เวลาไม่ถึง 10 ปี เศรษฐกิจที่ปลายโตแต่ฐานง่อนแง่นก็ได้เวลาล้มครืนในชั่วข้ามคืนในปี 2540 เกิดเป็นวิกฤตต้มยำกุ้งที่ทำให้ประเทศไทยถดถอยลงสู่จุดต่ำสุด ต้องไปกู้หนี้ยืมสินจากกองทุนไอเอ็มเอฟ และปรับโครงสร้างหนี้กันจ้าละหวั่น ก่อนจะลืมตาอ้าปากได้อย่างในปัจจุบัน 20 ปีผ่านมาแล้วนับจากวันนั้น ถือเป็นบทเรียนครั้งสำคัญที่วันนี้ทำให้ไทยเข้มแข็งขึ้น
สาเหตุหลักของวิกฤตเศรษฐกิจปี 2540
วิกฤตเศรษฐกิจปี 2540 หรือเรียกอีกชื่อว่าวิกฤตต้มยำกุ้ง เกิดขึ้นจากส่วนผสมที่ลงตัวของหลายสาเหตุ จุดเริ่มต้นคือการเปิดเสรีทางการเงินในปี 2532 ทำให้ประเทศไทยพึ่งพาเงินทุนจากต่างประเทศมากขึ้น โดยกำหนดค่าเงินบาทเป็นแบบคงที่คือ 25 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ สถาบันการเงินกู้เงินจากต่างประเทศเพื่อปล่อยกู้ โดยที่กระบวนการพิจารณาสินเชื่อเป็นไปอย่างหละหลวม ทำให้เกิดหนี้ที่ไม่ก่อรายได้เป็นจำนวนมาก ภาวะฟองสบู่แตกของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ การขาดดุลบัญชีเดินสะพัดของประเทศ และการโจมตีค่าเงินบาทจากนักลงทุนต่างชาติ
ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ในขณะนั้น นำเงินทุนสำรองไปปกป้องค่าเงินบาท จนเหลือเงินสำรองประมาณแค่ 2,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐเท่านั้น หรือเรียกว่าแทบหมดตัวเลยก็ว่าได้ ก่อนจะมีการประกาศลอยตัวค่าเงินบาท ในวันที่ 2 กรกฎาคม 2540 ทำให้อัตราแลกเปลี่ยนค่าเงินบาทเปลี่ยนจาก 25 บาทต่อดอลล่าสหรัฐฯ กลายเป็น 32 บาท/ดอลลาร์สหรัฐฯ และขึ้นสูงสุดเป็น 56 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ ในปี 2541 เรียกว่าทำให้เศรษฐกิจไทยล้มทั้งยืน จากจีดีพีที่เติบโตในปี 2539 สูงถึง 10.1% ตกมาอยู่ที่ 2.6% ในปี 2540 และติดลบ 2.2% ในปี 2541 ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ลดจาก 1,410.33 จุด ในเดือนมกราคม 2539 เหลือเพียง 207 จุด ในเดือนกันยายน 2541 ยอดหนี้เสียสูงถึง 2.5 ล้านล้านบาท ทำให้ไทยต้องขอเข้ารับความช่วยเหลือทางการเงินจากกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (International Monetary Fund หรือ IMF) จำนวนกว่า 17.2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในวันที่ 14 สิงหาคม 2540
ถอดบทเรียน แอล.พี.เอ็น. วิกฤตสอนให้ระมัดระวัง
บริษัท แอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) เป็นอีกหนึ่งบริษัทที่ก่อตั้งมาตั้งแต่ปี 2532 และผ่านพ้นช่วงระยะเวลาการเติบโตอย่างก้าวกระโดดจนกระทั่งเกิดวิกฤตต้มยำกุ้งในปี 2540 ทำให้บริษัทฯ เป็นหนี้สูงถึง 3,305.94 ล้านบาท ภายในชั่วข้ามคืน ซึ่งเป็นภาพเดียวกับบริษัทอสังหาริมทรัพย์หลายแห่งในขณะนั้น โดยบริษัทฯ รอดพ้นจากวิกฤตในห้วงเวลานั้นด้วยการเร่งดำเนินการตัดขายทรัพย์สินและที่ดินหลายแปลง ลดพนักงานบางส่วน เพื่อลดภาระค่าใช้จ่าย และนำเงินมาบริหารโครงการ พร้อมเร่งโครงการก่อสร้างแอล.พี.เอ็น. สุขุมวิท ทาวเวอร์ ให้แล้วเสร็จ เพื่อส่งมอบให้ลูกค้าได้ทันกำหนด และเสริมสภาพคล่องทางการเงินให้กับบริษัทฯ เน้นการพัฒนาในพื้นที่ที่มีความเชี่ยวชาญ จากที่พัฒนาโครงการทั้งแนวราบและคอนโดมิเนียม ก็หันมาพัฒนาเฉพาะคอนโดมิเนียมระดับล่างราคาประมาณ 1 ล้านบาท เน้นการขยายโครงการอย่างต่อเนื่อง ก่อสร้างเร็วภายใน 1 ปี เพื่อหมุนรอบเงินกลับเข้ามาเร็ว ทำให้สถานการณ์ทางการเงินของบริษัทฯ เริ่มกลับมาดีขึ้นในปี 2544 และทำให้เกิดการปรับโครงสร้างการบริหารจัดการ รวมไปถึงโครงสร้างต้นทุนให้มีประสิทธิภาพสูงสุด โดยเฉพาะเรื่องของการบริหารจัดการหนี้สินของบริษัทฯ ที่กำหนดไว้ว่าต้องไม่เกิน 1:1
เศรษฐกิจไทยปัจจุบันห่างไกลวิกฤตเหมือนปี 40
ธปท. ยืนยันว่า เศรษฐกิจไทยในขณะนี้ ยังไม่เห็นสัญญาณฟองสบู่ในภาคอสังหาริมทรัพย์ในภาพรวม แม้จะมีโอเวอร์ซัพพลายบ้างในบางทำเลแต่ยังไม่น่ากังวล เพราะเป็นเพียงฟองสบู่เล็ก ๆ ที่ไม่ได้กระทบเศรษฐกิจโดยรวม รวมทั้งสถาบันการเงินมีความระมัดระวังในการปล่อยสินเชื่อมากขึ้น และผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ในปัจจุบันไม่ได้ระดมทุนผ่านธนาคารพาณิชย์หรือบริษัทเงินทุนเท่านั้นเหมือนปี 2540
สอดคล้องกับศูนย์วิจัยศุภาลัย ที่เปิดเผยว่า แม้ว่าปัจจุบันจำนวนที่อยู่อาศัยเสนอขายคงค้างจะอยู่ในช่วง 100,000-180,000 หน่วย แต่ไม่ต้องกังวลว่าจะเกิดภาวะฟองสบู่แตกเหมือนกับในปี 2540 เพราะค่าเฉลี่ยการขายโครงการในรอบ 10 ปีที่ผ่านมาอยู่ที่ 38.5% หรือเทียบเท่าการขายโครงการให้หมดโดยเฉลี่ยที่ 2.6 ปี ซึ่งถือว่าเป็นผลประกอบการที่ดี และต่อเนื่องอย่างสม่ำเสมอ ถือว่าธุรกิจที่อยู่อาศัยยังมีสุขภาพที่ดี หากเปรียบเทียบเปอร์เซ็นต์การขายของปี 2542 หลังวิกฤตต้มยำกุ้งอันเป็นปีที่ต่ำสุดที่ 14% ต่อปี และจำนวนคงค้างกว่า 140,000 หน่วย ถ้าหากจำนวนที่อยู่อาศัยคงค้างมีเกิน 200,000 หน่วย ค่อยเริ่มคิดหาหนทางแก้ไข ก็ยังไม่สายเกินไป
จาก ‘ต้มยำกุ้ง’ สู่ ‘ต้มกบ’ เมนูใหม่ แต่รสชาติแย่เหมือนเดิม
แม้ว่าไทยจะยังห่างไกลจากภาวะวิกฤตต้มยำกุ้ง ปี 2540 แต่ภาวะเศรษฐกิจไทยที่กำลังพุ่งตรงไปสู่วิกฤตใหม่จากการเติบโตในระดับต่ำมาเป็นระยะเวลานาน ผิดกับประเทศเพื่อนบ้านที่มีอัตราเติบโตสูงกว่าไทยทั้งสิ้น ส่วนหนึ่งมาจากต้นทุนการผลิตที่ต่ำกว่า ทำให้ต่างประเทศหันไปลงทุนมากขึ้น ปัญหาทางการเมืองที่ฝังรากลึก รวมทั้งไทยมีการวิจัยและพัฒนาของภาคธุรกิจที่อยู่ในระดับต่ำ ภาคการเกษตรยังขาดประสิทธิภาพในการผลิตและการสร้างมูลค่าเพิ่ม และระบบราชการที่ยังขาดประสิทธิภาพและยังมีการคอร์รัปชัน ส่งผลทำให้ประเทศไทยย่ำอยู่กับที่ก่อให้เกิด “วิกฤตต้มกบ” ซึ่งจะทำให้ประเทศสูญเสียความสามารถในการแข่งขันอย่างช้า ๆ กว่าจะรู้ตัวก็อาจสายเกินไปแล้ว
วิกฤตเก่าที่ผ่านไปแล้วสร้างบาดแผล แต่ก็เสริมประสบการณ์ให้กับนักลงทุนไทยไม่น้อย เรียกว่าโอกาสซ้ำรอยเป็นไปได้ยาก แต่เส้นทางใหม่วันนี้กำลังมีวิกฤตใหม่ที่แง้มประตูรออยู่ในอนาคตหรือไม่ คงไม่มีใครรู้
ภาพหลัก via aljazeera.com
อัพเดท ข่าวอสังหาริมทรัพย์ สดใหม่ทุกวัน พร้อมส่งตรงถึงอีเมล์ของคุณฟรี สมัครได้ที่นี่ หรือหากคุณกำลังมองหาบ้านคอนโด ก็สามารถเลือกชม โครงการใหม่ พร้อม รีวิวโครงการคอนโดใหม่ บ้านใหม่ หลากหลายทำเลและราคาได้เช่นกัน