การค้าขายแบบออนไลน์ หรือ E-Commerce เป็นที่นิยมอย่างรวดเร็วจากการกระแส Social media ซึ่งมีผู้ใช้บริการเป็นจำนวนมาก ทำให้การค้าขายสินค้าโดยใช้พื้นที่ Social media ทำได้ง่าย สามารถเปิดขึ้นได้โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย เข้าถึงกลุ่มลูกค้าได้รวดเร็ว และหลากหลาย ประกอบกับมีระบบการชำระเงินแบบ E-Payment ทำให้สะดวกทั้งผู้ขายและผู้ซื้อ จากการประเมินมูลค่าการทำธุรกรรมบนธุรกิจออนไลน์นั้นคาดว่าจะมีมูลค่าสูงถึงหลักล้านล้านบาท แต่ภาครัฐยังไม่มีมาตรการหรือกฎหมายที่จะมาบังคับหรือควบคุม รวมทั้งการจัดเก็บภาษีอย่างเป็นรูปธรรม เกิดเป็นช่องโหว่ทั้งด้านความไม่เป็นธรรม และยังเป็นช่องทางในการขายของที่ผิดกฎหมาย ทางกรมสรรพากรจึงได้ร่างกฎหมายภาษีธุรกิจออนไลน์ (E-Commerce) และเตรียมยื่นเสนอต่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังภายในเดือนกรกฎาคมนี้เพื่อทำให้การค้าขายออนไลน์เข้ามาสู่ระบบ และตรวจสอบได้มากขึ้น
ตลาด E-Commerce ในไทยโตต่อเนื่อง
จากผลการสำรวจมูลค่าพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ โดยสำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (ETDA) ระบุว่า ปี 2559 มูลค่าตลาด E-Commerce ในประเทศไทยมีมูลค่าประมาณ 2.5 ล้านล้านบาท หรือคิดเป็น 40.08% ของมูลค่าขายสินค้าและบริการทั้งหมด โดยเติบโตเพิ่มขึ้นจากปี 2558 ถึง 12.42% โดยแบ่งเป็นตลาด E-Commerce แบบ B2B หรือผู้ประกอบการกับผู้ประกอบการ มีมูลค่าสูงถึง 1.3 ล้านล้านบาท หรือ 54.74% ของมูลค่าตลาด E-Commerce ในปี 2559 ทั้งหมด รองลงมาคือแบบ B2C หรือผู้ประกอบการกับผู้บริโภค มูลค่ากว่า 7 แสนล้านบาท และแบบ B2G หรือผู้ประกอบการกับภาครัฐ มูลค่ากว่า 4 แสนล้านบาท
ทำไมต้องเก็บภาษี E-Commerce
ตลาด E-Commerce แบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือ 1. ส่วนที่อยู่ในระบบ เช่น การจองตั๋วเครื่องบินผ่านระบบออนไลน์ หรือการชำระเงินของส่วนราชการและเอกชนต่าง ๆ และ 2.ส่วนที่ไม่อยู่ในระบบ เช่น การจ่ายค่าโฆษณาผ่านเฟซบุ๊ก กูเกิล ไลน์ หรืออูเบอร์ ซึ่งในส่วนที่ไม่อยู่ในระบบนี้ รัฐบาลไม่ได้รับการชำระภาษีจากธุรกรรมใด ๆ เลย การออกกฎหมายเก็บภาษีออนไลน์ฉบับนี้จึงไม่ได้มีจุดประสงค์แค่เพียงต้องการเก็บภาษีเพื่อให้มีรายได้เพิ่มขึ้น แต่เป็นการจัดเก็บภาษีเพื่อสร้างความเป็นธรรมในระบบ โดยเฉพาะผู้เสียภาษีที่อยู่ในประเทศไทย ซึ่งปัจจุบันธุรกิจเหล่านี้ไม่มีการเสียภาษี ดังนั้นทางกรมสรรพากรจึงต้องวางแนวทางการจัดเก็บเพื่อให้ธุรกิจเหล่านี้เข้ามาอยู่ในระบบอย่างถูกต้อง
สรุปสาระสำคัญการจัดเก็บภาษี E-Commerce
ขณะนี้ร่างกฎหมายเก็บภาษีธุรกิจออนไลน์ (E-Commerce) ได้ดำเนินการใกล้เสร็จแล้ว โดยอยู่ระหว่างเปิดรับฟังความคิดเห็นจากประชาชน ผ่านเว็บไซต์ของกรมสรรพากรภายในวันที่ 11 กรกฎาคมนี้ คาดว่าภายในเดือนกรกฎาคมนี้จะเสนอร่างกฎหมายไปยังรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังได้
โดยใจความสำคัญของร่างกฎหมายฉบับนี้จะเป็นการจัดเก็บภาษีเกิดขึ้นเมื่อมีธุรกรรมการซื้อขายสินค้าและการโอนเงินที่เกิดขึ้นในประเทศไทย และรวมถึงการดำเนินธุรกิจบนนวัตกรรมการเงินรูปแบบใหม่อื่น ๆ แม้ผู้ประกอบการจะไม่จัดตั้งอยู่ในประเทศไทย ก็ให้ถือว่ามีสถานประกอบการในประเทศไทย ซึ่งเข้าข่ายต้องชำระภาษีเช่นเดียวกันกับผู้ประกอบการในประเทศไทย โดยมีภาษีต้องเสีย เช่น ภาษีหัก ณ ที่จ่าย และภาษีเงินได้ต่าง ๆ และหากรายได้เกิน 1.8 ล้านบาทต่อปี ต้องจดทะเบียนชำระภาษีมูลค่าเพิ่ม
สำหรับอัตราการจัดเก็บภาษี มีการปรับปรุงเพดานอัตราการจัดเก็บสูงสุด 15% ของเงินได้ที่จ่าย จากเดิมที่มีแนวคิดจะจัดเก็บที่อัตรา 5% ของเงินได้ที่จ่าย โดยอัตราที่จะจัดเก็บใหม่นี้ จะอิงตามมาตรา 70 ของประมวลรัษฎากร ซึ่งระบุว่า สำหรับบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายต่างประเทศที่ไม่ได้ประกอบกิจการในประเทศไทย แต่มีแหล่งเงินได้ที่เกิดขึ้นในประเทศไทยที่เป็นเงินได้ที่พึงประเมินตามมาตรา 40 (2) (3) (4) (5) หรือ (6) ที่จ่ายจากหรือในประเทศไทยไม่ว่าบุคคลใด ๆ ย่อมมีหน้าที่เสียภาษีเงินได้ตามแหล่งเงินได้ (Source Rule) และเพื่อให้การจัดเก็บภาษีเงินได้เป็นไปด้วยดีจึงกำหนดให้ผู้มีเงินได้มีหน้าที่ต้องนำส่งภาษีหัก ณ ที่จ่าย โดยผู้มีเงินได้ไม่ต้องมีหน้าที่ปฏิบัติภาษีอื่นใดอีก
ทั้งนี้ อัตราการจัดเก็บภาษีนี้ จะมีหลายอัตราขึ้นอยู่กับประเภทธุรกรรม ซึ่งในร่างกฎหมายจะมีการแยกประเภทของธุรกรรมที่จะมีการจัดเก็บไว้อย่างชัดเจน และจะมีข้อยกเว้นหรือลดหย่อนภาษีให้ เช่น กรณีที่มีอนุสัญญาภาษีซ้อนกับประเทศของผู้ทำธุรกรรม
สำหรับวิธีปฏิบัติต่อการเก็บภาษีบนธุรกรรมดังกล่าว ในกฎหมายจะให้อำนาจสถาบันการเงินเป็นผู้จัดเก็บภาษี หัก ณ ที่จ่าย แทนกรมสรรพากร โดยเมื่อใดที่มีการโอนเงินเพื่อชำระค่าสินค้าหรือบริการใด ๆ บนโลกออนไลน์ต่าง ๆ ทางสถาบันการเงินในไทยมีหน้าที่หักภาษี ณ ที่จ่ายให้แก่กรมสรรพากร โดยสถาบันการเงินจะต้องทำหน้าที่ส่งรายการการหักภาษีดังกล่าวมายังกรมสรรพากรด้วย
ถือเป็นอีกหนึ่งมาตรการภาษีที่ทางรัฐบาลชุดนี้ประกาศเรียกเก็บ แน่นอนว่าไม่พ้นคำครหารัฐบาลถังแตก แต่หากมองลึก ๆ แล้ว ก็คือช่วยให้อะไรต่าง ๆ เข้าสู่ระบบมากกว่า และยังเก็บภาษีอย่างเท่าเทียม ไม่เช่นนั้นพ่อค้าแม่ค้าคงหนีไปขายออนไลน์กันหมดแน่นอน
อัพเดท ข่าวอสังหาริมทรัพย์ สดใหม่ทุกวัน พร้อมส่งตรงถึงอีเมล์ของคุณฟรี สมัครได้ที่นี่ หรือหากคุณกำลังมองหาบ้านคอนโด ก็สามารถเลือกชม โครงการใหม่ พร้อม รีวิวโครงการคอนโดใหม่ บ้านใหม่ หลากหลายทำเลและราคาได้เช่นกัน