วัยรุ่น วัยทำงาน ออมอย่างไรให้ทันเกษียณ

22 มี.ค. 2561

“ยิ่งออมเร็ว ยิ่งมีระยะเวลาออมเงินที่นานขึ้น ส่งผลให้สัดส่วนออมเงินต่อเดือนไม่สูงนัก เมื่อเทียบกับการออมเงินเมื่อตอนอายุมากขึ้น ที่ต้องเก็บเงินด้วยสัดส่วนที่สูงขึ้น”

“เก็บออมเงินเพื่ออะไร” เป็นคำถามที่ตอบได้ไม่ยาก และหลายคนคงทราบดีว่าเป็นสิ่งที่ควรทำ เพราะการที่เราออมเงินในวันนี้ ก็เพื่อเป็นเงินออมไว้ใช้จ่ายในอนาคต หรือยามเกษียณ ในช่วงที่เราอาจไม่มีรายได้จากงานประจำแล้ว

“เก็บออมเงินเท่าไรดี” เมื่อตั้งใจจะเก็บเงินแล้ว ก็ควรมีเป้าหมายที่เป็นตัวเลขสักหน่อยว่า ควรออมเงินเท่าไร เพื่อให้มีเงินเพียงพอใช้จ่ายสบายๆ ในวัยเกษียณ เพราะถ้าบอกว่า ออมให้เยอะที่สุด อาจดูเป็นนามธรรมไปหน่อย และยิ่งถ้าไม่กำหนดเป็นตัวเลขให้ชัดลงไป บางเดือนอาจเผลอใช้จ่ายจนหมด จนไม่เหลือออมเลยก็ได้

แล้วตัวเลขหรือสัดส่วนเงินออมเท่าไรที่เรียกว่าเหมาะสม ไม่มากเกินไปจนเบียดเบียนการใช้จ่ายในปัจจุบัน และไม่น้อยเกินไปจนกระทั่งถึงวันที่ต้องนำเงินออมมาใช้จ่าย แล้วพบว่า เงินไม่พอใช้ ต้องนึกเสียใจว่า “รู้งี้” เก็บเงินให้มากกว่านี้อีกหน่อยก็ดี ลองมาดูกันเลย

living situation in old age.

เกษียณต้องใช้เงินเท่าไร

ก่อนอื่นต้องรู้ว่า เมื่อเกษียณแล้ว ใช้เงินเท่าไร เพื่อรู้ว่าต้องออมเงินเท่าไรต่อเดือน

สำหรับบทความนี้จะขออ้างอิงค่าใช้จ่ายหลังเกษียณจากการสำรวจของ K-Expert ซึ่งพบว่า ค่าใช้จ่ายประจำวัน เช่น ค่าอาหาร ค่าเดินทาง ค่าใช้จ่ายในบ้านอย่างค่าน้ำค่าไฟ และค่าหมอสำหรับเจ็บป่วยเล็กๆ น้อยๆ จะตกเดือนละ 15,500 บาท หรือคิดคร่าวๆ ใช้จ่ายประมาณวันละ 500 บาท

แต่เงินที่ใช้หลังเกษียณต้องไม่ลืมบวกเงินเฟ้อเข้าไปด้วย เพราะอย่างที่รู้กันดีว่า ราคาสินค้าข้าวของต่างๆ ในวันนี้กับในอนาคตย่อมไม่เท่ากัน (ลองย้อนเวลากลับไปสัก 20 ปีที่แล้ว ก๋วยเตี๋ยวชามหนึ่งราคา 20-25 บาท แต่วันนี้ ถ้าจะซื้อก๋วยเตี๋ยวชามเดิม ต้องใช้เงินอย่างน้อยๆ 40-50 บาท)

ดังนั้น ค่าใช้จ่ายต่อเดือนที่รวมเงินเฟ้อ และเงินก้อนที่ต้องเตรียมไว้ ณ วันเกษียณ เป็นเท่าไรนั้น สามารถดูได้จากตารางด้านล่าง 

2018-03-22_17-09-26_edited

หมายเหตุ: สมมติอัตราเงินเฟ้อเฉลี่ยปีละ 3% และหลังเกษียณสร้างผลตอบแทนให้กับเงินออมได้เท่ากับอัตราเงินเฟ้อหรือ 3% ต่อปี

การคำนวณเงินก้อน ณ วันเกษียณ ขอใช้วิธีอย่างง่าย คือ สมมติให้หลังเกษียณสร้างผลตอบแทนให้กับเงินออมได้เท่ากับอัตราเงินเฟ้อ เมื่อรู้ว่าหลังเกษียณใช้เดือนละเท่าไร ก็คูณกับจำนวนเดือนที่คาดว่าจะอยู่หลังเกษียณได้ออกมาเป็นเงินก้อนที่ต้องเตรียมไว้

ยกตัวอย่าง ถ้าตอนนี้อายุ 30 ปี ต้องการมีเงินใช้หลังเกษียณเดือนละ 15,500 บาท ถ้าวางแผนเกษียณเมื่ออายุ 60 ปี เงิน 15,500 บาท จะมีมูลค่าประมาณ 37,623 บาทในอีก 30 ปีข้างหน้า แล้วถ้าใช้จ่ายหลังเกษียณ 25 ปี หรือ 300 เดือนเท่ากับว่า เงินก้อนที่ต้องเตรียมไว้ ณ วันเกษียณ จะเท่ากับ 37,623 x 300 = 11.3 ล้านบาท

Pink piggy bank with glasses standing on books next to a blackboard with retirement savings chart.  Sharp focus on the piggy bank.

ออมเงินแค่ไหน ถึงจะเพียงพอ

ตัวเลขหรือสัดส่วนเงินออม จะขึ้นอยู่กับ 3 องค์ประกอบหลัก คือ (1) รายได้ต่อเดือน (2) ระยะเวลาออมเงิน และ (3) อัตราผลตอบแทน

สำหรับรายได้ต่อเดือนนั้น K-Expert ต้องขอขอบคุณข้อมูลของผู้เข้าร่วมสัมมนา Workshop ที่ K-Expert Center จำนวน 500 ท่าน ที่ให้ความร่วมมือในการตอบแบบสอบถาม โดยจะพบว่า รายได้มักสัมพันธ์กับอายุ (อาจมีบางท่านที่ความสามารถสูง รายได้จึงสูงกว่าค่าเฉลี่ยจากผลสำรวจได้)

ที่มา: ผลสำรวจผู้เข้าร่วมสัมมนา Workshop ที่ K-Expert Center จำนวน 500 ท่าน ณ มกราคม 2560

ที่มา: ผลสำรวจผู้เข้าร่วมสัมมนา Workshop ที่ K-Expert Center จำนวน 500 ท่าน ณ มกราคม 2560

ทั้งนี้ อัตราการเพิ่มขึ้นของเงินเดือนที่ใช้คำนวณ อ้างอิงจากผลสำรวจบริษัท วิลลิส ทาวเวอร์ส วัทสัน ประเทศไทย ที่คาดว่า ปี 2561 อัตราเงินเดือนในประเทศไทยจะปรับขึ้นเฉลี่ย 5.5%

เมื่อคำนวณจำนวนเงินออมต่อเดือน ณ ระดับผลตอบแทน 5% ต่อปี โดยเก็บเงินทุกเดือนจนถึงอายุเกษียณที่ 60 ปี พบว่า สัดส่วนเงินออมของรายได้ต่อเดือนที่ทำให้บรรลุเป้าหมายเก็บเงินเกษียณ ปัดเป็นตัวเลขกลมๆ ได้ดังนี้

เริ่มออมก่อนอายุ 40 ปี ควรออม 20% ต่อเดือน
เริ่มออมเมื่ออายุ 40-44 ปี ควรออม 30% ต่อเดือน
เริ่มออมเมื่ออายุ 45-48 ปี ควรออม 40% ต่อเดือน
เริ่มออมเมื่ออายุ 49-50 ปี ควรออม 50% ต่อเดือน

จากการคำนวณสัดส่วนการออมเงินต่อเดือนตามช่วงอายุ พอจะสรุปได้ว่า ยิ่งออมเร็ว ยิ่งมีระยะเวลาออมเงินที่นานขึ้น ส่งผลให้สัดส่วนออมเงินต่อเดือนไม่สูงนัก เมื่อเทียบกับการออมเงินเมื่อตอนอายุมากขึ้น ที่ต้องเก็บเงินด้วยสัดส่วนที่สูงขึ้น

ดังนั้น ถ้าออมเงินตั้งแต่อายุยังไม่มาก (ไม่เกิน 40 ปี) เมื่อเงินเดือนออก หรือมีรายได้เข้ามา ก็ออมก่อนเลยอย่างน้อย 20%

สำหรับการลงทุนให้ได้รับผลตอบแทน 5% ต่อปี ต้องบอกว่า ไม่ได้ยากเกินไป เพียงแบ่งเงินลงทุนในหุ้น และตราสารหนี้ อย่างเหมาะสม เช่น ลงทุนในหุ้นสัก 30% ที่เหลืออีก 70% ลงทุนในตราสารหนี้ หรืออีกทางเลือกหนึ่งคือ การลงทุนในกองทุนผสมที่ลงทุนในหุ้นและตราสารหนี้ ที่มีโอกาสให้ผลตอบแทนตามที่คาดหวัง

การออมเงินไม่ใช่เรื่องยาก หากเรารู้ว่าเป้าหมายการออมของเราคืออะไร เพียงแบ่งเงินสักส่วนหนึ่งของเงินเดือน โดยอดทนไม่ใช้จ่ายเงินจนหมดในวันนี้ มาเก็บสะสมไว้ เพื่อบั้นปลายชีวิตที่ไม่ต้องลำบาก เพราะเมื่อถึงเวลานั้น คงไม่สามารถย้อนเวลากลับมาออมเงินให้มากขึ้นได้แล้ว

อัพเดท ข่าวอสังหาริมทรัพย์ สดใหม่ทุกวัน พร้อมส่งตรงถึงอีเมล์ของคุณฟรี สมัครได้ที่นี่ หรือหากคุณกำลังมองหาบ้านคอนโด ก็สามารถเลือกชม โครงการใหม่ พร้อม รีวิวโครงการคอนโดใหม่ บ้านใหม่ หลากหลายทำเลและราคาได้เช่นกัน

เรื่องข้างต้นนี้เขียนโดย นิชฌานี ฉันทศาสตร์ CFP® K-Expert ฝ่ายวางแผนและให้คำปรึกษาลูกค้าบุคคล ธนาคารกสิกรไทย หากมีข้อสงสัยหรือต้องการปรึกษาวางแผนเพิ่มเติม สามารถปรึกษากับ K-Expert ธนาคารกสิกรไทย ได้ที่ K-Expert@kasikornbank.com

เขียนความเห็น

ข่าว-บทความอื่นๆ ที่คุณอาจสนใจ

อะไรจะเกิดขึ้น หากสังคมไร้เงินสดบุกตลาดอสังหาฯ?

ไฮไลท์...- เผยผลสำรวจคนไทย 73% เลือกชำระเงินแบบอิเล็กทรอนิกส์ - สังคมไร้เงิ

อ่านต่อ16 มี.ค. 2561

3 นวัตกรรมใหม่ ยกระดับการอยู่อาศัยในยุค 4.0

ปัจจุบันเราจะเห็นนวัตกรรมใหม่ ๆ เข้ามาเกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวันมากข

อ่านต่อ19 มี.ค. 2561