สมรสเท่าเทียม 2568 คู่รัก LGBTQIAN+ กับการซื้อบ้าน

DDproperty Editorial Team
สมรสเท่าเทียม 2568 คู่รัก LGBTQIAN+ กับการซื้อบ้าน
ขอแสดงความยินดีกับชาว LGBTQIAN+ ในไทยที่กฎหมายสมรสเท่าเทียมใช้อย่างเป็นทางการตั้งแต่วันที่ 23 มกราคม 2568 ทำให้สิทธิต่าง ๆ ของชาว LGBTQIAN+ ถูกยกระดับให้เท่าเทียมกับคู่สมรสชาย-หญิง ซึ่งแน่นอนว่าประเด็นหนึ่งที่น่าสนใจในเรื่องนี้การถือครองอสังหาริมทรัพย์อย่างบ้าน/คอนโด ซึ่งแต่เดิมมีความยุ่งยากมากกว่าคู่รักชาย-หญิง ลองมาไล่เรียงกันดูว่ากฎหมายฉบับนี้มีประโยชน์อย่างไร และเอื้อต่อการซื้อบ้าน ขายบ้านอย่างไรบ้าง
อ่านหัวข้อที่คุณสนใจ

กฎหมายสมรสเท่าเทียมคืออะไร

กฎหมายสมรสเท่าเทียม หรือพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (ฉบับที่ 24) พ.ศ. 2567 ซึ่งมีผลบังคับใช้เมื่อพ้น 120 วัน นับจากวันที่ประกาศในราชกิจจานุเบกษา ซึ่งหมายความว่าจะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 23 มกราคม 2568 เป็นต้นไป
สาระสำคัญของกฎหมายฉบับนี้เพื่อให้บุคคล 2 คนไม่ว่าจะเพศใดก็ตามสามารถทำการหมั้นและสมรสได้ จากกฎหมายสมรสปัจจุบันที่การหมั้น ใช้คำว่า "ฝ่ายชาย ฝ่ายหญิง" มีการแก้ไขเป็น "ผู้หมั้นและผู้รับหมั้น" หรือ "เพศ" ที่ใช้คำว่า "ชาย-หญิง" แก้ไขเป็น "บุคคลทั้ง 2 ฝ่าย" สถานะหลังจดทะเบียนสมรส จาก "สามีภริยา/คู่สมรส" แก้เป็น "คู่สมรส/คู่สมรส"
รวมทั้งการแก้ไขเพิ่มเติมบทบัญญัติอื่น ซึ่งจะทำให้บุคคลนั้นมีสิทธิ หน้าที่สถานะทางครอบครัว เท่าเทียมกับคู่สมรสที่เป็นชายและหญิง

สิทธิจากการจดทะเบียนสมรสเท่าเทียม

1. สิทธิในการหมั้น แต่งงาน และหย่าร้าง คู่สมรส LGBTQIAN+ จะได้รับสิทธิตามกฎหมายในการหมั้น หรือแต่งงาน ซึ่งสามารถจดทะเบียนสมรสในไทยและใช้สิทธิคู่สมรสได้อย่างเต็มที่เช่นเดียวกับคู่สมรสชายหญิง รวมไปถึงในกรณีที่ต้องการหย่าร้างทั้งโดยสมัครใจหรือฟ้องหย่า ก็มีสิทธิได้รับความคุ้มครองอย่างเท่าเทียมเช่นกัน
2. สิทธิในการเป็นผู้ปกครองของบุตรบุญธรรมร่วมกัน ช่วยให้คู่สมรส LGBTQIAN+ สามารถรับบุตรบุญธรรมของคู่สมรสอีกฝ่ายเป็นบุตรบุญธรรมของตนได้ ต่างจากเดิมที่กลุ่ม LGBTQIAN+ จะสามารถเป็นผู้ปกครองบุตรบุญธรรมได้เพียงคนเดียว เนื่องจากไม่ได้เป็นคู่สมรสกันตามกฎหมายเหมือนคู่ชายหญิง
3. สิทธิในการดูแลชีวิตของคู่สมรสตามกฎหมาย ซึ่งมีสิทธิในการลงนามยินยอมให้รักษาพยาบาลอีกฝ่ายได้ในฐานะคู่สมรส และเป็นผู้ตัดสินใจแทนเกี่ยวกับการรักษาพยาบาล นอกจากนี้ คู่สมรส LGBTQIAN+ ยังมีสิทธิรับประโยชน์และสวัสดิการจากรัฐในฐานะคู่สมรสเช่นกัน ซึ่งรวมไปถึงสิทธิเบิกจ่ายค่ารักษาพยาบาล และสิทธิประกันสังคม
4. สิทธิในการรับมรดกจากคู่สมรส หากผู้ที่ได้รับมรดกเป็นคู่สมรส LGBTQIAN+ ที่จดทะเบียนอย่างถูกต้อง คู่สมรสจะได้รับยกเว้นไม่ต้องเสียภาษีมรดก และหากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเสียชีวิตโดยไม่ได้ทำพินัยกรรมไว้ คู่สมรสที่ยังมีชีวิตจะถือเป็นทายาทโดยธรรมอันมีสิทธิรับมรดกของคู่สมรสที่เสียชีวิตได้ตามกฎหมายเช่นกัน
5. สิทธิในการจัดการทรัพย์สินหรือสินสมรสร่วมกัน โดยคู่สมรส LGBTQIAN+ จะมีสิทธิในการบริหารจัดการสินสมรสร่วมกันตามกฎหมาย ได้แก่ ทรัพย์สินที่คู่สมรสได้มาระหว่างสมรส เช่น เงินเดือน โบนัส หรือทรัพย์สินที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งได้มาระหว่างสมรสโดยพินัยกรรมหรือการให้เป็นหนังสือโดยระบุว่าเป็นสินสมรส รวมทั้งทรัพย์สินที่เป็นดอกผลของสินส่วนตัว ซึ่งรวมไปถึงการถือครองอสังหาริมทรัพย์อย่างบ้าน/คอนโดเช่นกัน
สมรสเท่าเทียม 2568 คู่รัก LGBTQIAN+ กับการซื้อบ้าน

สมรสเท่าเทียม คู่รัก LGBTQIAN+ กู้ซื้อบ้านอย่างไรให้ผ่านฉลุย

เมื่อคู่รัก LGBTQIAN+ มีสถานะเท่าเทียมกับคู่สมรสที่เป็นชายและหญิงแล้ว การกู้ร่วมซื้อบ้านก็สามารถทำได้เช่นกัน โดยไม่มีกฎเกณฑ์ยุ่งยากเหมือนกับเมื่อก่อน ซึ่ง 3 วิธีที่ทำให้ยื่นกู้ผ่านได้ง่ายมีดังนี้

1. เตรียมเอกสารให้พร้อม

เอกสารการกู้ซื้อบ้านของคู่รัก LGBTQIAN+ อยู่ร่วมกัน แบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม ได้แก่
1) เอกสารประจำตัวผู้ขอสินเชื่อ (รวมถึงผู้กู้ร่วม) เช่น บัตรประจำตัวประชาชน, ทะเบียนบ้าน, ทะเบียนสมรส เป็นต้น ทั้งฉบับจริงและสำเนา เป็นต้น
2) เอกสารแสดงความสามารถทางการเงิน เช่น หนังสือรับรองเงินเดือน, สลิปเงินเดือน, สมุดบัญชีแสดงรายการเดินบัญชีย้อนหลัง 6 เดือน เป็นต้น
3) เอกสารที่แสดงรายละเอียดหลักทรัพย์
เตรียมเอกสารกู้บ้าน

เตรียมเอกสารกู้บ้าน

2. กู้ร่วมทำให้กู้ผ่านง่าย ได้วงเงินมากขึ้น

วิธีการกู้ร่วมซื้อบ้าน เป็นทางเลือกที่ดีต่อการกู้ซื้อบ้านกลุ่ม LGBTQIAN+ ช่วยให้อนุมัติการกู้ได้ง่ายขึ้น และได้วงเงินมากขึ้น พร้อมเพิ่มความคล่องตัวทางด้านการเงิน โดยคู่รักกู้ร่วม LGBTQIAN+ สามารถเลือกใส่ชื่อในกรรมสิทธิ์ได้ทั้งแบบ 1 คน หรือ 2 คน ขึ้นอยู่กับธนาคารกำหนด
กู้ร่วมซื้อบ้านด้วยกันแล้ว ทำไมยังกู้ไม่ผ่าน

กู้ร่วมซื้อบ้านด้วยกันแล้ว ทำไมยังกู้ไม่ผ่าน

3. เช็กรายชื่อธนาคาร ที่เอื้อคู่รัก LGBTQIAN+

ปัจจุบันมีธนาคารหลายสถาบันจัดรูปแบบสินเชื่อกู้ซื้อบ้านสำหรับคู่รัก LGBTQIAN+ โดยเฉพาะ ไม่ว่าจะเป็นธนาคารกรุงศรีอยุธยา, ธนาคารไทยพาณิชย์, ธนาคารกสิกรไทย หรือธนาคารรัฐอย่างธนาคารอาคารสงเคราะห์ ทั้งนี้ วงเงินกู้สูงสุดขึ้นอยู่กับคุณสมบัติผู้กู้ร่วมและความมั่นคงทางอาชีพหรือการเงินของผู้กู้เป็นหลัก

ประกาศขายบ้านเดี่ยว

ค้นหาประกาศขายบ้านเดี่ยวในกรุงเทพฯ หลายระดับราคาและทำเล

5 เรื่องพื้นฐานตามกฎหมายสมรสเท่าเทียม

สำนักงานกิจการยุติธรรม ได้ระบุถึง 5 เรื่องพื้นฐานตามกฎหมายสมรสเท่าเทียม ดังนี้

1. สิทธิในการหมั้น

"บุคคลทั้งสองฝ่าย" หมั้นได้ ต้องมี อายุ 18 ปี บริบูรณ์แล้ว
– การหมั้นจะสมบูรณ์ เมื่อ "ผู้หมั้น" ส่งมอบหรือโอนทรัพย์สินที่เป็นของหมั้นให้ "ผู้รับหมั้น" เพื่อเป็นหลักฐานว่าจะสมรสกัน
– "ของหมั้น" ตกเป็นสิทธิของผู้รับหมั้น
– กรณีฝ่ายผู้รับหมั้น "ผิดสัญญาหมั้น" ให้คืนของหมั้นแก่ฝ่ายผู้หมั้น (ตามกฎหมายว่าด้วยลาภมิควรได้)
เมื่อมีการหมั้นแล้ว ฝ่ายใด "ผิดสัญญาหมั้น" ต้องรับผิดชดใช้ค่าทดแทน…(ศาลชี้ขาด)
– ค่าทดแทนความเสียหายต่อร่างกายหรือชื่อเสียงของผู้หมั้นหรือผู้รับหมั้น
– ค่าทดแทนความเสียหายจากการที่คู่หมั้น บิดามารดา หรือบุคคลที่กระทำในฐานะเช่นเดียวกับบิดา มารดาที่ใช้จ่ายหรือตกเป็นลูกหนี้ในการเตรียมการสมรสโดยสุจริตและสมควร
– ค่าทดแทนความเสียหายจากการที่คู่หมั้นจัดการทรัพย์สิน/อาชีพ/ทางทำมาหาได้ของตน โดยสมควรเพราะคาดหมายว่าจะได้สมรส
– ถ้ามีเหตุสำคัญเกิดขึ้นกับผู้รับหมั้น ทำให้ผู้หมั้นไม่สมควรสมรสด้วย (เช่น รู้ความจริงหลังหมั้นว่าเป็นโรคร้ายแรงทางเพศฯ) ผู้หมั้นมีสิทธิบอกเลิกสัญญาหมั้นและขอคืนของหมั้นได้
– ถ้ามีเหตุสำคัญเกิดขึ้นกับผู้หมั้น ทำให้ผู้รับหมั้นไม่สมควรสมรสด้วย ผู้รับหมั้น มีสิทธิบอกเลิกสัญญาหมั้นและไม่ต้องคืนของหมั้น
กรณี คู่หมั้นตายก่อนสมรส อีกฝ่ายจะเรียกร้องค่าทดแทนไม่ได้ส่วนของหมั้นหรือสินสอด ไม่ต้องคืน
คู่หมั้นอาจเรียกค่าทดแทนได้
– ค่าทดแทนจากผู้ร่วมประเวณีหรือผู้ที่ทำให้คู่หมั้นของตนสนองความใคร่ โดยรู้หรือควรจะรู้ถึงการหมั้น (ต้องบอกเลิกสัญญาหมั้น)
– ค่าทดแทนจากผู้ข่มขืนกระทำชำเราหรือพยายามข่มขืนฯ คู่หมั้นของตน โดยรู้หรือควรจะรู้ถึงการหมั้น (ไม่ต้องบอกเลิกสัญญาหมั้น)
การเรียกร้องค่าทดแทน ต้องทำภายในระยะเวลา 6 เดือน นับแต่วันที่รู้หรือควรรู้ ถึงการกระทำของผู้อื่น หรือรู้ตัวผู้จะใช้ค่าทดแทน แต่ต้องไม่เกิน 5 ปี นับแต่วันที่ผู้อื่นได้กระทำการดังกล่าว

2. สิทธิในการจดทะเบียนสมรส

“บุคคลทั้งสองฝ่าย” สมรสได้ ต้องมี อายุ 18 ปีบริบูรณ์แล้ว (แต่ในกรณีมีเหตุสมควร ศาลอาจอนุญาตให้สมรสก่อนได้)
การสมรสหรือการแต่งงาน
– บุคคลทั้งสองต้อง “ยินยอม” เป็นคู่สมรสกันและต้องแสดงการยินยอม โดย “เปิดเผย” ต่อหน้านายทะเบียนและให้นายทะเบียนบันทึกความยินยอมไว้ (จดทะเบียนสมรส)
– เมื่อมีพฤติการณ์พิเศษที่ “จดทะเบียนสมรสต่อนายทะเบียนไม่ได้” เพราะฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งหรือทั้งสองฝ่ายตกอยู่ในอันตรายใกล้ความตาย/ภาวะรบ/สงคราม เป็นต้น
1) ให้บุคคลทั้งสอง แสดงเจตนาจะสมรสกันต่อหน้าบุคคลที่บรรลุนิติภาวะที่อยู่ ณ ที่นั้น
2) แล้วให้บุคคลดังกล่าว จดแจ้งการแสดงเจตนาขอสมรสของบุคคลทั้งสองไว้เป็นหลักฐาน
3) และต่อมาให้บุคคลทั้งสองจดทะเบียนสมรสกันภายใน 90 วันนับแต่วันที่อาจจดทะเบียนสมรสต่อนายทะเบียนได้ โดยแสดงหลักฐานและพฤติการณ์พิเศษไว้ในทะเบียนสมรส
บุคคลที่สมรสไม่ได้
– บุคคลวิกลจริต (เช่น จิตผิดปกติ, บ้า) หรือไร้ความสามารถ (ไม่สามารถจัดการตนเองได้)
– บุคคลสองคนที่เป็นญาติสืบสายโลหิตโดยตรงขึ้นไปหรือลงมา
– เป็นพี่น้องร่วมบิดามารดาหรือร่วมแต่บิดาหรือมารดา
– บุคคลจะทำการสมรสในขณะที่ตนมีคู่สมรสอยู่ไม่ได้ (สมรสซ้อนไม่ได้)
สินสอด เป็นทรัพย์สินของฝ่ายผู้หมั้นให้แก่บิดามารดา/ผู้รับบุตรบุญธรรม/ผู้ปกครอง ของฝ่ายผู้รับหมั้น เพื่อตอบแทนที่ยอมสมรส
กรณีไม่มีการสมรส เพราะมีเหตุสำคัญเกิดกับผู้รับหมั้น หรือมีพฤติการณ์ที่ผู้รับหมั้นต้องรับผิดชอบ จนทำให้ผู้หมั้นไม่สมควรสมรสกับผู้รับหมั้น ฝ่ายผู้หมั้นเรียกสินสอดคืนได้ (ตามกฎหมายว่าด้วยลาภมิควรได้)
สมรสเท่าเทียม 2568 คู่รัก LGBTQIAN+ กับการซื้อบ้าน

3. สิทธิในการดูแลชีวิตคู่ (ความสัมพันธ์ระหว่างคู่สมรส)

– คู่สมรสต้องอยู่กินด้วยกันฉันคู่สมรส
– คู่สมรสต้องช่วยเหลือ อุปการะ เลี้ยงดูตามความสามารถและฐานะของตน
– กรณีที่คู่สมรสไม่สามารถอยู่กินฉันคู่สมรสโดยปกติสุข หรือการอยู่ร่วมกันจะเป็นอันตราย แก่ร่างกายหรือจิตใจ หรือทำลายความผาสุกอย่างมาก อาจร้องขอต่อศาลมีคำสั่งอนุญาตให้แยกกันอยู่ในระหว่างเกิดเหตุ และกำหนดให้อีกฝ่ายจ่ายค่าอุปการะเลี้ยงดูให้ได้
– กรณีศาลสั่งให้คู่สมรสเป็นคนไร้ความสามารถ/เสมือนไร้ความสามารถ ให้คู่สมรสอีกฝ่ายเป็นผู้อนุบาลหรือผู้พิทักษ์ หรือเมื่อมีผู้มีส่วนได้เสียหรืออัยการร้องขอ และมีเหตุสำคัญ ศาลอาจตั้งผู้อื่นมาทำหน้าที่แทนได้

4. สิทธิในการจัดการทรัพย์สิน-หนี้สินของคู่สมรส

ถ้าคู่สมรส “ไม่ได้ทำสัญญา” เรื่องทรัพย์สินไว้เป็นพิเศษก่อนสมรส ตามกฎหมายเรื่องทรัพย์สินระหว่างคู่สมรส แยกไว้เป็น “สินส่วนตัว” และ “สินสมรส” ดังนี้
สินส่วนตัวสินสมรส
1. ทรัพย์สินที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งมีก่อนสมรส1. ทรัพย์สินที่ได้มาระหว่างสมรส
2. ทรัพย์สินที่เป็นเครื่องใช้สอยส่วนตัว เครื่องแต่งกาย เครื่องประดับ ตามฐานะ เครื่องมือเครื่องใช้ที่จำเป็นในการประกอบอาชีพหรือวิชาชีพ2. ทรัพย์สินที่ได้ระหว่างสมรสโดยพินัยกรรมหรือการให้เป็นหนังสือที่ระบุว่าเป็นสินสมรส
3. ทรัพย์สินที่ได้มาระหว่างสมรส โดยการรับมรดกหรือการให้โดยเสน่หา3. ทรัพย์สินที่เป็นดอกผลของสินส่วนตัว
4. ทรัพย์สินที่เป็นของหมั้น*กรณีสงสัยว่าทรัพย์สินใดเป็นสินสมรสหรือไม่? (ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าเป็นสินสมรส)
– สัญญาเกี่ยวกับทรัพย์สินที่คู่สมรสทำไว้ในระหว่างสมรส ฝ่ายใดจะ “บอกเลิกสัญญา” ในเวลาที่เป็นคู่สมรสหรือภายใน 1 ปี นับแต่วันที่ขาดจากการสมรสก็ได้
– กรณีสินสมรสเป็นอสังหาริมทรัพย์หรือที่มีเอกสารสำคัญ คู่สมรสฝ่ายใดจะร้องขอให้ “ลงชื่อตนเป็นเจ้าของร่วมกัน” ในเอกสารได้
– คู่สมรสต้อง “จัดการสินสมรส” ร่วมกันหรือได้รับความยินยอม (เป็นหนังสือ) จากอีกฝ่ายหนึ่ง ในกรณี…
1) ขาย แลกเปลี่ยน ขายฝาก ให้เช่าซื้อ จำนอง ปลดจำนอง หรือโอนสิทธิจำนองอสังหาริมทรัพย์หรือสังหาริมทรัพย์
2) ก่อตั้ง หรือทำให้สิ้นสุดซึ่งภาระจำยอม สิทธิอาศัย สิทธิเหนือพื้นดิน สิทธิเก็บกิน และภาระติดพันในอสังหาริมทรัพย์
3) ให้เช่าอสังหาริมทรัพย์เกิน 3 ปี
4) ให้กู้ยืมเงิน
5) ให้โดยเสน่หา ยกเว้นการให้ที่สมควรแก่ฐานานุรูปของครอบครัวเพื่อการกุศล/สังคม/ตามหน้าที่จรรยา
6) ประนีประนอมยอมความ
7) มอบข้อพิพาทให้อนุญาโตตุลาการวินิจฉัย
8) นำทรัพย์สินไปเป็นประกันหรือหลักประกันต่อเจ้าพนักงานหรือศาล
– คู่สมรสฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งมีสิทธิฟ้อง ต่อสู้ หรือดำเนินคดีเกี่ยวกับการสงวน บำรุงรักษา หรือเพื่อประโยชน์แก่สินสมรส ซึ่งถ้ามีหนี้เกิดขึ้นให้ถือว่าเป็นหนี้ที่คู่สมรสเป็น “ลูกหนี้ร่วมกัน“
– คู่สมรสฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง “ไม่มีอำนาจทำพินัยกรรมยกสินสมรสเกินส่วนของตน” ให้บุคคลอื่น
– กรณีคู่สมรสฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง “มีอำนาจจัดการทรัพย์สินฝ่ายเดียว” ให้อีกฝ่ายมีอำนาจจัดการบ้านเรือนและจัดหาสิ่งจำเป็นสำหรับครอบครัวตามสมควรแก่อัตภาพ โดยให้ค่าใช้จ่ายดังกล่าวมาจากสินสมรสและสินส่วนตัวของทั้งสองฝ่าย
– กรณีคู่สมรสฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง “จัดการหรือกำลังทำให้สินสมรสเกิดความเสียหายอย่างมาก” อีกฝ่ายสามารถร้องขอให้ศาลสั่งห้ามหรือจำกัดอำนาจนี้ได้
– คู่สมรสสามารถร้องขอให้ศาลสั่งอนุญาตให้เป็นผู้จัดการสินสมรสผู้เดียว หรือสั่งให้แยกสินสมรส หรือกำหนดวิธีการคุ้มครองชั่วคราวได้ ในกรณีที่คู่สมรสอีกฝ่ายที่มีอำนาจจัดการสินสมรส กระทำการ ดังนี้
1) จัดการสินสมรสเป็นที่เสียหายอย่างมาก
2) ไม่อุปการะเลี้ยงดูอีกฝ่าย
3) มีหนี้สินล้นพ้นตัวหรือทำหนี้เกินกึ่งหนึ่งของสินสมรส
4) ขัดขวางการจัดการสินสมรสของอีกฝ่ายโดยไม่มีเหตุสมควร
5) มีพฤติการณ์ปรากฏว่าจะทำความหายนะให้แก่สินสมรส
– ในระหว่างที่เป็นคู่สมรสกัน ฝ่ายใด “จะยึดหรืออายัดทรัพย์สินของอีกฝ่ายไม่ได้” ยกเว้นในคดีที่ฟ้องร้อง หรือค่าอุปการะเลี้ยงดู และค่าธรรมเนียมศาล
– กรณีคู่สมรสฝ่ายใดต้องรับผิด “ชำระหนี้ส่วนตัว” ให้ชำระด้วย “สินส่วนตัว” เมื่อไม่พอจึงให้ชำระด้วย “สินสมรสที่เป็นส่วนของตนเอง”
– กรณีคู่สมรสเป็น “หนี้ร่วม” ให้ชำระหนี้จาก “สินสมรสและสินส่วนตัว” ของทั้งสองฝ่าย
– หนี้ที่คู่สมรสเป็น “ลูกหนี้ร่วมกัน” ให้รวมหนี้ที่คู่สมรสก่อให้เกิดขึ้นในระหว่างสมรสด้วย ดังนี้
1) หนี้เกี่ยวกับการจัดการบ้านเรือนและจัดหาสิ่งจำเป็นสำหรับครอบครัว การอุปการะเลี้ยงดู การรักษาพยาบาลบุคคลในครอบครัว และการศึกษาบุตร ตามสมควรแก่อัตภาพ
2) หนี้ที่เกี่ยวกับสินสมรส
3) หนี้ที่เกิดขึ้นจากการงานที่คู่สมรสทำด้วยกัน
4) หนี้ที่คู่สมรสฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งก่อขึ้นเพื่อประโยชน์ของตนฝ่ายเดียว แต่อีกฝ่ายได้ให้สัตยาบัน (รับรอง)
– กรณีคู่สมรส “มีคำพิพากษาให้ล้มละลาย” สินสมรสย่อมแยกจากกัน (ตกเป็นสินส่วนตัว) โดยอำนาจกฎหมายนับแต่วันที่ศาลพิพากษาให้ล้มละลาย
– กรณี “ไม่มีสินสมรสแล้ว” คู่สมรสต้องช่วยกันออกค่าใช้สอย สำหรับการจัดการบ้านเรือนตามส่วนมาก และน้อยแห่งสินส่วนตัวของตน

5. สิทธิในการหย่าร้าง

หย่าโดยความยินยอม
– ให้คู่สมรสทำความตกลงเป็นหนังสือว่าฝ่ายใดจะเป็นผู้ใช้อำนาจปกครองบุตร ถ้าไม่ได้ตกลงหรือตกลงกันไม่ได้ ให้ศาลเป็นผู้ชี้ขาด
– ให้คู่สมรสตกลงกันไว้ในสัญญาหย่าว่า ทั้งสองฝ่ายหรือฝ่ายใดจะออกเงินค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตร/จำนวนเงินเท่าไหร่
การหย่าจะสมบูรณ์ต่อเมื่อคู่สมรสจดทะเบียนหย่า คู่หมั้นหรือคู่สมรสฝ่ายหนึ่งไปมีความสัมพันธ์กับบุคคลอื่นไม่ว่าจะเป็นเพศใด เรียกค่าทดแทนและเป็นเหตุฟ้องหย่าได้
ฟ้องหย่า ต้องมีเหตุ ดังนี้
1) อุปการะเลี้ยงดู ยกย่องผู้อื่นแบบคู่สมรส เป็นชู้หรือมีชู้ร่วมประเวณีกับผู้อื่นเป็นประจำ หรือกระทำหรือยอมรับการกระทำกับผู้อื่นเพื่อสนองความใคร่ของตนหรือผู้อื่นเป็นประจำ*
เมื่อศาลพิพากษาให้หย่า
– คู่สมรสมีสิทธิได้รับค่าทดแทนจากคู่สมรสอีกฝ่าย และจากผู้ที่ได้รับการอุปการะเลี้ยงดู ยกย่อง หรือเป็นเหตุแห่งการหย่า
– คู่สมรสมีสิทธิเรียกค่าทดแทนจากผู้ล่วงเกินคู่สมรสทำนองชู้ หรือผู้ที่แสดงตนโดยเปิดเผยว่ามีความสัมพันธ์กับคู่สมรสในทำนองชู้
ถ้าคู่สมรสฝ่ายใดยินยอมหรือรู้เห็นเป็นใจ: ฟ้องหย่าและเรียกค่าทดแทนไม่ได้
2) ประพฤติชั่ว จนเป็นเหตุให้อีกฝ่ายอับอายขายหน้าอย่างร้ายแรง/ถูกดูถูกเกลียดชัง/ได้รับความเสียหายหรือเดือดร้อนเกินควร*
ถ้าคู่สมรสฝ่ายใดยินยอมหรือรู้เห็นเป็นใจ: ฟ้องหย่าไม่ได้
3) โดนทำร้าย/ทรมานร่างกายหรือจิตใจ/เหยียดหยามอีกฝ่ายหรือบุพการีอย่างร้ายแรง
4) จงใจทิ้งร้างไปเกิน 1 ปี เช่น ถูกจำคุกเกิน 1 ปี โดยอีกฝ่ายไม่มีส่วนเกี่ยวข้องในความผิด, สมัครใจแยกกันอยู่เพราะอยู่ร่วมกันแบบปกติสุขไม่ได้ตลอด 3 ปี, แยกกันอยู่ตามคำสั่งศาลเป็นเวลาเกิน 3 ปี
5) ถูกศาลสั่งให้เป็นคนสาบสูญ หรือไปจากภูมิลำเนาหรือถิ่นที่อยู่เกิน 3 ปี โดยไม่มีใครทราบแน่ว่าเป็นตายร้ายดีอย่างไร
6) ไม่ให้ความช่วยเหลืออุปการะเลี้ยงดูตามสมควร หรือเป็นปฏิปักษ์ต่อการเป็นคู่สมรสอย่างร้ายแรง
7) เป็นคนวิกลจริตตลอดมาเกิน 3 ปี และยากจะหายและถึงขนาดทนอยู่ร่วมกันแบบคู่สมรสต่อไปไม่ได้
8) ผิดทัณฑ์บนที่ทำให้ไว้เป็นหนังสือในเรื่องความประพฤติ*
ถ้าการผิดทัณฑ์บนมาจากความประพฤติของคู่สมรส แต่เป็นเหตุเล็กน้อยหรือไม่เกี่ยวกับการอยู่ร่วมกัน: ศาลอาจสั่งไม่ให้หย่าได้
9) เป็นโรคติดต่ออย่างร้ายแรงที่เป็นภัยและไม่มีทางที่จะหายได้
10) มีสภาพร่างกายที่ทำให้ร่วมประเวณีไม่ได้ หรือสนองความใคร่ไม่ได้ตลอดกาล*
ถ้าสภาพร่างกายดังกล่าว เกิดจากการกระทำของคู่สมรสอีกฝ่าย: ฟ้องหย่าไม่ได้
อ่านประกาศราชกิจจานุเบกษา กฎหมายสมรสเท่าเทียม ฉบับเต็ม ได้ที่นี่ https://ratchakitcha.soc.go.th/documents/36482.pdf
มีหลายธนาคารที่เปิดโอกาสให้ LGBTQIAN+ กู้ร่วมซื้อบ้านได้

จดทะเบียนสมรสเท่าเทียม ต้องมีคุณสมบัติอย่างไร ใช้เอกสารอะไรบ้าง

การจดทะเบียนสมรสของคู่รัก LGBTQIAN+ สามารถดำเนินการได้ ณ สำนักทะเบียนอำเภอ, สำนักทะเบียนเขต และสถานทูต/กงสุลไทยในต่างประเทศทุกแห่ง โดยคู่รัก LGBTQIAN+ จะต้องมีคุณสมบัติและเอกสาร ดังนี้

คุณสมบัติของผู้จดทะเบียนสมรสเท่าเทียม

– บุคคลทั้งสองจะต้องมีอายุไม่ต่ำกว่า 18 ปีบริบูรณ์
– กรณีผู้เยาว์ต้องนำบิดามารดาหรือผู้ปกครองมาให้ความยินยอม
– กรณีอายุต่ำกว่า 18 ปี จะต้องได้รับอนุญาตจากศาล
– ไม่เป็นคนวิกลจริต หรือไร้ความสามารถ
– ไม่เป็นพี่น้องร่วมบิดามารดา หรือร่วมแต่บิดามารดา
– ไม่เป็นคู่สมรสของบุคคลอื่น
– ผู้รับบุตรบุญธรรมจะสมรสกับบุตรบุญธรรรมไม่ได้
– หญิงชายผู้เป็นคู่สมรสตายหรือการสมรสสิ้นสุดลงด้วยประการอื่น
– จะสมรสใหม่ได้ต่อเมื่อสิ้นสุดการสมรสไปแล้วไม่น้อยกว่า 310 วัน เว้นแต่
  • คลอดบุตรแล้วในขณะนั้น
  • ศาลมีคำสั่งให้สมรสได้
  • มีใบรับรองแพทย์ว่าไม่ได้ตั้งครรภ์
  • สมรสกับคู่สมรสเดิม

เอกสารที่ต้องใช้สำหรับจดทะเบียนสมรสเท่าเทียม

– บัตรประชาชน หรือยืนยันตัวตนผ่านแอปพลิเคชั่น ThaiD
– หนังสือเดินทางประเทศไทย
– พยาน 2 คน ต้องเป็นบุคคลบรรลุนิติภาวะ
– หนังสือรับรองสถานภาพการสมรสที่แสดงว่าไม่มีคู่สมรสในขณะที่จะจดสมรส
– หนังสือยินยอม (กรณีผู้มีอำนาจปกครองของผู้เยาว์ที่มีอายุตั้งแต่ 18 ปีบริบูรณ์ และยังไม่บรรลุนิติภาวะไม่สามารถมายินยอมต่อหน้าเจ้าหน้าที่ได้)
– สัญญาก่อนสมรส (ถ้ามี) *กรณีเป็นเอกสารภาษาต่างประเทศต้องแปลเป็นภาษาไทย

ค่าธรรมเนียม

การจดทะเบียนสมรส ณ สำนักทะเบียนที่จด ไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียม การจดทะเบียนสมรสนอกสำนักทะเบียน ต้องเสียค่าธรรมเนียน 200 บาท
ข้อจำกัดความรับผิดชอบ: ข้อมูลนี้จัดทำขึ้นเพื่อเป็นข้อมูลทั่วไปเท่านั้น DDproperty by PropertyGuru ซึ่งอยู่ภายใต้การดูแลของบริษัท ออลพร็อพเพอร์ตี้ มีเดีย จำกัด ไม่สามารถรับรองหรือรับประกันเกี่ยวกับข้อมูล รวมทั้งไม่สามารถรับรองหรือรับประกันใด ๆ เกี่ยวกับความเหมาะสม สำหรับวัตถุประสงค์เฉพาะใด ๆ ของข้อมูล ตามขอบเขตสูงสุดที่กฎหมายอนุญาต แม้ว่าเราได้พยายามอย่างเต็มที่ เพื่อให้แน่ใจว่าข้อมูลที่ให้ไว้ในบทความนี้ถูกต้อง เชื่อถือได้ และครบถ้วน ณ เวลาที่เขียน แต่ข้อมูลที่ให้ไว้ในบทความนี้ไม่ควรนำไปใช้ในการตัดสินใจทางการเงิน, การลงทุนอสังหาริมทรัพย์ หรือทางกฎหมายทันที ผู้อ่านไม่ควรใช้ข้อมูลในบทความ แทนคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญที่ผ่านการฝึกอบรมซึ่งสามารถพิจารณาข้อเท็จจริงและสถานการณ์ส่วนตัวของคุณได้ ทั้งนี้ เราไม่สามารถรับผิดชอบใด ๆ หากคุณเลือกที่จะนำข้อมูลไปใช้เพื่อประกอบการตัดสินใจ

คำถามยอดนิยม

ปัจจุบันมีการบังคับใช้กฎหมายสมรสเท่าเทียม (23 ม.ค. 68) ทำให้คู่รัก LGBTQIAN+ สามารถกู้ร่วมซื้อบ้านได้